ฟิกเรื่องนี้ก็สวยดีนะ แต่งเองอีกเหมือนเดิม ~ ^^
Title :: Underneath the Rain
Pairing :: Kangin x Leeteuk
Author :: ParkSooHyun
Rating :: PG-13
Genre :: AU
Author’s Note :: เรื่องราวทั้งหมดที่แต่งขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะพาดพิงถึงบุคคลใด
————————————————————————
Underneath the Rain
คงเป็นเวลาเย็นมากแล้วเมื่อแสงสีส้มอมทองเริ่มทาทับระไล่สีมาตั้งแต่ปลายสุดของเส้นขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ดวงโตที่สาดส่องให้แสงสว่างในยามกลางวันค่อยเคลื่อนคล้อยลาลับลดลงสู่อีกฟากฝั่งของโลกกลมๆใบเดียวกันนี้
ใบไม้แห้งปลิดปลิวออกจากขั้วยามเมื่อต้องสายลมอ่อน ปลายสุดของเส้นทางการเคลื่อนตัวจบลงตรงปลายเท้าของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งก้าวเดินออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยด้วยใบหน้ามึนซึม สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใดนอกไปเสียจากการแอบงีบหลับไปกว่าชั่วโมงเมื่อครู่
ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคิมยองอุนคนนี้ไปเสียแล้ว…
ยามเมื่อมีงานกลุ่มที่ต้องเรียกรวมตัวกันอย่างเร่งด่วนในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน ไม่ว่าเพื่อนสมาชิกในกลุ่มจะรีบร้อนและหัวเสียมากแค่ไหน แต่สำหรับหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินทอดน่องออกจากประตูมหาวิทยาลัยคนนี้ ดูเหมือนว่าเรื่องการทำงานจะเป็นเรื่องเล็กน้อยและน่าเบื่อมากเสียจนเขาพร้อมจะงีบหลับไปได้ทุกเมื่อหากไม่มีใครมอบหมายสิ่งใดมาให้เป็นหน้าที่ในช่วงเวลาห้านาทีแรกของการรวมตัว แล้วก็ถึงจะมอบหมายงานไปแล้วก็ตาม ยองอุนก็ยังสามารถล้มตัวลงนอนได้อย่างหน้าตาเฉยดังเช่นเมื่อครู่
นิ้วยาวอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นแยงเข้าไปในหูของตนเมื่อเสียงตวาดดังก้องของคิมฮีชอล พี่ชายหน้าหวานร่วมชมรมเมื่อสักครู่ดูเหมือนจะยังไม่เลือนหายไป
‘คิมยองอุน!!! ที่ฉันสู้อุตส่าห์ไปตามแกให้มาที่นี่ไม่ใช่เพื่อให้แกมานอนหลับสบายนะเว้ย หัดแหกตาขึ้นมาดูบ้างว่าคนอื่นเขาทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลังแค่ไหน มีแกเนี่ยแหละที่ไร้สามัญสำนึกมานอนอืดอยู่คนเดียว ลุกขึ้นมาเลยนะ แล้วก็ย้ายก้นตัวเองออกไปจากที่นี่ได้แล้วด้วย คนอื่นเขากลับกันหมดแล้วเว้ย’
เสียงโวยวายที่แทบทำให้ตึกถล่มลงมาตรงหน้าแม้จะได้มือแข็งแรงของพี่ฮันกยอง นักเรียนทุนแลกเปลี่ยนจากจีนแผ่นดินใหญ่มาช่วยฉุดรั้งร่างที่ทำท่าว่าต้องการจะประทุษร้ายร่างกายสักส่วนของเขาไว้แล้วก็ตาม
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้ว่าพี่ฮีชอลจะแสดงท่าทางราวกับอยากจะกระโจนมาขย้ำคอเขาให้ได้เสียเดี๋ยวนั้นก็ตาม แต่งานทั้งหลายทั้งแหล่ที่พี่ชายร่างเพรียวมอบหมายมาให้เขาที่อู้อย่างจงใจก็ถูกทำให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยด้วยมือของเจ้าตัวเอง
ซ้ำร้ายก่อนที่เขาจะเดินจากมา เสียงตะโกนด้วยความหวังดีแกมประชดไล่หลังของพี่ฮีชอลยังทำให้เขาอดจะยิ้มออกมาไม่ได้
‘พรุ่งนี้มีสอบนะอ้วน คืนนี้อย่ามัวแต่นอนอืดล่ะแก อ่านหนังสือซะด้วยล่ะ’
ยองอุนยิ้มกับตัวเอง
นี่แหละพี่ฮีชอล…ต่อให้เป็นห่วงใครเขาแค่ไหน ทางที่จะแสดงความรู้สึกออกมาก็คงมีแค่การพูดจากระโชกโฮกฮากตามนิสัยของเจ้าตัวเท่านั้น แต่สำหรับยองอุนแล้ว เขาที่รู้จักกับพี่ชายร่างบางมาเกือบเท่าระยะเวลาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้นั้นสามารถเข้าใจและรับนิสัยแปลกๆนั้นได้ ในทางกลับกัน ชายหนุ่มยังถือว่าเป็นเรื่องโชคดีเสียอีกที่ได้พบเจอและได้รู้จักกับพี่ชายนิสัยดีที่ปากไม่ตรงกับใจคนนี้
เส้นทางปูอิฐทอดยาวไปเบื้องหน้า ด้านข้างซ้ายขวาเรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ปลูกประดับให้ร่มเงาทิ้งช่วงห่างเท่าๆกันตลอดแนวทางเดิน ที่สุดปลายทางเป็นสถานที่ที่หอพักนักศึกษาของยองอุนตั้งอยู่
และแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นจนเกือบเข้าพลบค่ำแล้วก็ตาม หากกลับยังมีนักศึกษาบางคนขี่จักรยานออกมาจากหอด้วยต้องการแวะมาซื้อของกินกลับเข้าไปตุนเอาไว้เป็นเสบียงในยามดึก เช่นเดียวกับรุ่นน้องร่างท้วมที่ส่งยิ้มแป้นมาให้แต่ไกล
“อ้าวพี่ เพิ่งกลับจากมหาลัยเหรอ มีงานหรือไง”
ยองอุนพยักหน้ารับส่งๆ “เออ แต่ไม่ใช่งานฉันหรอก”
แว่วได้ยินเสียงหัวเราะก่อนที่จักรยานคันนั้นจะถูกจอดเทียบลงข้างร่างของยองอุนส่งผลให้ชายหนุ่มจำต้องหยุดยืนคุยไปตามระเบียบ
“ไม่ใช่ว่าพี่มัวแต่นอนหลับอยู่หรอกเหรอ”
คนฟังพลอยหัวเราะตาม “ทำเป็นรู้ ทำไม กิตติศัพท์ฉันดังไปทั่วมหาลัยแล้วงั้นสิ”
รุ่นน้องตัวโตไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากเสียงหัวเราะที่ทำให้ใครก็ตามที่ได้ฟังอารมณ์ดีตามไปด้วย ยองอุนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นต่อจากนั้น
“แล้วนายล่ะชินดง จะปั่นจักรยานไปไหนเย็นๆแบบนี้”
ชินดงหัวเราะดังขึ้นอีก มือใหญ่ชี้ไปทางมินิมาร์ท “ไปซื้อเสบียงน่ะสิพี่ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันกลายเป็นคนใช้ซองมินไปแล้ว วันนี้เห็นบอกว่าจะมีน้องมาค้างห้องด้วย ไม่รู้น้องหรือใครกันแน่ ดี๊ด๊าน่าดู”
ร่างสูงขยับยิ้มตามเมื่อนึกไปถึงซองมินเพื่อนตัวเล็กของชินดง เด็กที่มักจะพูดจาสุภาพกับเขาที่เป็นพี่อยู่เสมอ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถออกปากใช้ใครเป็น
“ฉันว่าฉันรีบไปดีกว่าพี่ ขืนช้าเดี๋ยวฝนตกจะโดนซองมินด่าเปล่าๆ พี่ก็รีบกลับล่ะ” น้องชายตัวใหญ่บอกไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะถีบจักรยานจากไป
ยองอุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จากสีส้มที่ว่าได้เห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าบัดนี้กลับเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทึมๆเสียแล้ว ขายาวรีบก้าวตรงไปเบื้องหน้า ต่อให้แข็งแรงแค่ไหนแต่เขาก็ยังไม่อยากเสี่ยงกับตัวการใหญ่ที่อาจทำให้ไม่สบายได้ง่ายๆในวันพรุ่งนี้ที่มีสอบ แล้วยิ่งกับคืนนี้ต้องท่องหนังสือดึกเสียด้วย
ตัวอาคารทรงสูงปรากฏให้ได้เห็นแล้วเมื่อชายหนุ่มจ้ำฝีเท้าเดินมาตามทางเรื่อยๆ ประตูทางเข้าตึกที่อยู่ไม่ไกลทำให้เจ้าของร่างสูงยอมผ่อนฝีเท้าลง แล้วสุดท้ายจึงได้ตระหนักว่าตัวเองคิดผิดมากเพียงใดเมื่อพบว่าฝนเม็ดใหญ่พร้อมใจกันกระหน่ำเทลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้เนื้อตัวเปียกปอนได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีดี
ยองอุนมุ่งหน้าตรงไปยังทางเข้าหอพักนักศึกษา ตั้งใจว่าจะเอาหนังสือเรียนที่คงบวมน้ำคามือไปแล้วไปตากลมในห้องเสียหน่อยเมื่อหางตามองเห็นถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ทำให้ขายาวต้องหยุดชะงักลง
ที่สนามหญ้าด้านหน้าตึกที่เป็นที่ตั้งของชิงช้าไม้ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าเหตุใดจึงนำเอาชิงช้ามาเป็นของประดับในสนามของหอพักชาย ยองอุนไม่ได้ตาฝาดไปอย่างแน่นอนเมื่อเขาเห็นคาตาว่าตัวชิงช้าแกว่งไกวน้อยๆทั้งที่เมื่อแหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มปกคลุมเหนือขึ้นไปนั้น
ไม่มีใบไม้สักใบริอาจขยับ…
อดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่อยู่ท่ามกลางสายฝนหนาวเย็นเมื่อตระหนักชัดว่าสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นสิ่งที่แผกออกไปจากปกติ เขาเองก็เดินผ่านสนามแห่งนี้ออกบ่อยครั้ง หากไม่มีครั้งใดเลยที่การเดินผ่านจะชวนให้เขาอยากวิ่งหนีได้เท่าครั้งนี้
สิ่งที่คิมยองอุนกลัวที่สุดก็คือผี
ถูกแล้ว…ยองอุนกลัวผี ก็ผู้ชายตัวใหญ่ที่กล้ากับเรื่องชกต่อยทุกเรื่องบนโลกใบนี้ไม่อาจใช้กำลังต่อรองกับสิ่งที่สัมผัสไม่ได้เช่นนั้นได้ ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน ผีก็คือผี
เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ชายหนุ่มทำต่อจากวินาทีที่แหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็คือรีบวิ่งตรงเข้าไปในหอทันทีโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองอีกเลย
หลายชั่วโมงต่อจากนั้น เสียงเปาะแปะที่ดังอยู่ก็ยังไม่จางหายไปคงด้วยเม็ดฝนสาดกระทบกระจกหน้าต่างไม่สามารถรบกวนสมาธิของยองอุนได้เมื่อร่างสูงยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆในห้องพักสำหรับสองคนที่เขาเช่าไว้คนเดียว
ยองอุนไม่ชอบให้ใครมารบกวนความเป็นส่วนตัวเป็นสาเหตุให้เขาไม่ต้องการแชร์ห้องกับใคร
ดวงตาคมเหลือบขึ้นจากหน้ากระดาษเป็นครั้งแรกเพื่อมองหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะ เข็มยาวชี้เลขหนึ่งและเข็มสั้นที่ชี้เลขสิบเอ็ดทำให้เขารู้ว่าเวลาที่เขาจดจ่ออยู่กับตำราเรียนนั้นมากพอสมควรแล้ว มือหนายกขึ้นขยี้ตาเบาๆเพราะรู้สึกถึงความแสบล้า ชายหนุ่มตัดสินใจเดินไปชงกาแฟมาดื่มในท้ายที่สุด
แก้วกาแฟควันกรุ่นถูกกุมไว้โดยฝ่ามือใหญ่เมื่อเจ้าตัวเดินตรงไปยังหน้าต่างของห้องพักซึ่งถูกปิดบังสายตาจากคนภายนอกโดยผ้าม่านสีอ่อน เสียงฝนที่ยังไม่ซาเม็ดทำให้ร่างสูงแหวกผ้าม่านออกดู
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นไปดังที่จินตนาการไว้ สายฝนกระหน่ำโดยมีพื้นหลังเป็นท้องฟ้าสีส้มแดงๆที่เริ่มจางสีลงเพราะได้ปล่อยหยดน้ำลงสู่พื้นเบื้องล่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หากในท่ามกลางความมืดมิดที่สามารถจินตนาการได้กลับปรากฏสิ่งหนึ่งเดียวที่สะดุดสายตาคมให้ต้องเพ่งมอง
หน้าต่างห้องที่เปิดสู่วิวด้านพื้นสนามหญ้าหน้าหอพัก บนชิงช้าไม้เก่าๆปรากฏร่างบอบบางนั่งนิ่งงันไม่ขยับท่ามกลางเม็ดฝนตกกระหน่ำ ดวงตาคมกล้าพยายามเพ่งมองใบหน้าที่มองเห็นได้ค่อนข้างยากจากความสูงระดับที่เขายืนอยู่นี้ เสียงทุ้มพูดกับตัวเองแผ่วเบา
“ใครกัน…”
สิ้นสุดคำถามต่อตัวเอง ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดแหงนเงยขึ้นมองราวกับจะล่วงรู้ถึงสายตาของนักศึกษาหนุ่มที่จับจ้อง ดวงตากลมโตคงเป็นสิ่งแรกที่สะกดสายตา ถัดมาก็คงเป็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม แต่ถึงกระนั้นก็บอกชัด
…ไม่ใช่คนในหอนี้…
ยองอุนทิ้งผ้าม่านลงปิดบังหน้าต่างไว้เช่นเดิม แก้วกาแฟที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งถูกวางลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ ร่มพลาสติกตรงมุมห้องที่ไม่คิดใช้อยู่ในมือร่างหนาเมื่อยองอุนก้าวลงมายืนที่ชั้นล่าง ชายหนุ่มร่างสูงกางร่มออกเมื่อพาตัวเองมายืนอยู่นอกชายคาตึก ขายาวรุดก้าวตรงไปยังร่างที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ชิงช้าตัวเดิม
ร่มคันไม่ใหญ่นักเลื่อนไปกางกั้นไว้เหนือศีรษะของร่างที่เงยหน้าขึ้นมอง เสียงห้าวถามออกไป
“ทำไมถึงมานั่งตากฝนอยู่ตรงนี้ ไม่กลัวเป็นหวัดไปหรือไง”
แปลกนัก ก็กับคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นเป็นการส่วนตัว ถึงขั้นมั่นใจได้ด้วยซ้ำว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทำไมจึงต้องพูดถ้อยคำที่เหมือนกับห่วงใย ทำไมต้องวิ่งตากฝนออกมาหา
อาจเพราะดวงตากลมโตคู่สวยที่กำลังจับจ้องเขาอยู่ตอนนี้…หรือเพราะเรียวปากสีสดที่กำลังแย้มรอยยิ้มให้เขาอยู่ตอนนี้
ไม่ล่ะ…ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเสียหน่อย คิมยองอุนคนนี้ก็แค่มีมนุษยธรรมเท่านั้น เขาคงไม่สามารถดูดายเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกผู้กำลังตากฝนอยู่ได้หรอก
“นายมองเห็นฉัน?” เสียงใสเอ่ยถามย้อนกลับ
คำถามแปลกๆยังไม่เท่าน้ำเสียงไพเราะที่ดูจะก้องกังวานผิดปกติ ซ้ำยังผิวหน้าขาวเนียนละเอียดที่ไม่มีเค้าว่าเคยตากฝนมานานเลยแม้แต่น้อย ต่อมความสงสัยของยองอุนถูกปลุกกระตุ้นให้ทำงานอีกครั้ง หากชายหนุ่มก็ยังปัดมันออกไปจากใจเมื่อถึงอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าคนที่เขาแบ่งปันร่มให้อีกกว่าครึ่งดูจะโต้ตอบกับเขาได้อย่างเป็นปกติ
ผีที่ไหนจะคุยกับคนได้…จริงไหม?
ยองอุนตอบคำถามของอีกคนกลับไป “ทำไมฉันจะมองไม่เห็นล่ะ นี่นั่งตากฝนมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”
“นานแค่ไหน?” เสียงใสทวนคำถามของเขา ใบหน้าสวยหวานกระเดียดไปทางผู้หญิงหากไม่สังเกตว่าเครื่องแต่งกายบอกชัดว่าเป็นชายฉายแววสับสนน้อยๆ
นี่กับแค่คำถามว่านั่งอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนมันยากเย็นถึงขนาดต้องคิดเลยเหรอเนี่ย…
สุดท้ายแล้ว รอยยิ้มสวยที่จุดขึ้นที่มุมปากพร้อมกับใบหน้าที่หันมาให้คำตอบก็แทบจะทำให้ยองอุนปล่อยร่มเพื่อเอามือกุมขมับเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ไม่รู้สิ”
เห็นหน้าซื่อๆตาใสๆแบบนั้นแล้วชายหนุ่มก็ไม่คิดต่อคำ เลี่ยงไปถามคำถามอื่นแทนเสีย “โอเค ไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้ว…นายมารอใครรึเปล่า นายไม่ใช่คนในหอนี้นี่”
ผิดวิสัยที่ต้องมายืนซักถามประวัติกันท่ามกลางสายฝนกระหน่ำแบบนี้ แต่ที่ถามก็แค่เพราะรู้สึกถึงเสียงร้องเตือนบางอย่างในใจ เสียงร้องเตือนที่ไม่พ้นตัวเขาคงต้องถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนตัวเล็กบางตรงหน้า แล้วเสียงเตือนที่ว่านั้นก็ไม่ผิดเสียด้วยเมื่อคนที่นั่งตากฝนอยู่เป็นนานตอบกลับมาหน้าตาเฉย
“รอ…รอนายไง”
เหอะ ถึงจะคาดไว้แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ร่างสูงชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ตาคมเบิกกว้าง
“รอฉัน? แน่ใจนะ นายจำคนผิดหรือเปล่า ฉันแค่บังเอิญหน้าตาไปเหมือนเพื่อนนายรึเปล่า”
คนที่นั่งปักหลักอยู่ที่ชิงช้าไม้มานานลุกขึ้นยืน เส้นผมพลิ้วระต้นคอเมื่อร่างนั้นขยับกาย เกินกว่าจะเบี่ยงตัวหลบได้ทันเมื่อมือเรียวขาวทั้งสองข้างเอื้อมมาแตะสัมผัสที่ข้างแก้มของเขา ความเย็นวาบที่ต้นคอซึ่งหาสาเหตุไม่เจอทำให้ยองอุนตัวแข็งทื่อ ทำได้เพียงมองใบหน้าขาวที่อยู่ตรงหน้าและดวงตากลมโตที่ไล่มองเครื่องหน้าของเขาพร้อมกับที่คนตัวเล็กบังคับให้เขาหันหน้าไปมาซ้ายขวา
แรงเยอะ…แต่ไม่อาจต่อต้าน
ดวงตากลมๆนั้นพินิจมองละเอียดลออ ในแววตาไม่ได้เป็นอื่นนอกไปเสียจากความสงสัยเท่านั้น ท้ายสุดแล้ว เจ้าของมือเรียวเย็นเฉียบก็ปล่อยใบหน้าเขาออกพร้อมกับที่เจ้าตัวส่ายหัวดิกจนเส้นผมสีน้ำตาลนั้นพลิ้วสะบัดไปมา
“ไม่เหมือนหรอก หน้านายไม่เหมือนเพื่อนคนไหนของฉันสักคน”
คนร่างสูงกว่ายังยืนนิ่ง ตราบจนเมื่อเริ่มจะรู้สึกตัวว่าใบหน้าของทั้งเขาและคนตัวเล็กกว่าคนนี้อยู่ใกล้กันมากเพียงใด ขายาวจึงถอยออกมาอีกก้าวหนึ่ง ยองอุนลอบถอนหายใจ
ตกลงว่าเมื่อกี้ก็แค่พลิกหน้าเขาดูว่าเหมือนเพื่อนตัวเองรึเปล่าเท่านั้น ชายหนุ่มนึกอยากจะถามคนตรงหน้าเสียเหลือเกินว่าเคยใช้วิธีนี้ไปแล้วกี่ครั้งกันแต่ก็ไม่กล้า สิ่งที่ยองอุนทำได้จึงเพียงแค่กระแอมกระไอเรียกเสียงของตัวเองกลับมาเพื่อถามไถ่อีกฝ่ายต่อไป
“ไม่เหมือนแล้วบอกว่ารอฉันทำไม เรารู้จักกันด้วยเหรอ”
ร่างบางกระพริบตา เสียงที่ตอบกลับเรียบเฉยราวกับมันเป็นปัญหาง่ายๆที่ใครก็ตอบได้ “เปล่า แต่นายมองเห็นฉัน”
“ห๊ะ?” อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ แบบนี้ก็มีด้วย แค่มองเห็นก็แปลว่ามารอเขาแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ
“ทำไมล่ะ เราไม่ได้รู้จักกัน แต่นายมองเห็นฉันนี่”
มือข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นเกาหัวแกรก เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ “ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหนเลย”
ใบหน้าขาวใสของคนตัวเล็กที่ได้เห็นแฝงแววผิดหวังและเศร้าสร้อยอยู่ในที ถึงกระนั้น เจ้าของใบหน้าเรียวก็กลับพยักรับคำของร่างสูง ขาเรียวเล็กภายใต้กางเกงขายาวสีขาวถอยกลับไปนั่งบนชิงช้าไม้ตามเดิม เสียงหวานใสกังวานก้องกล่าวไม่ดังนัก
“อืม นั่นสินะ เราไม่รู้จักกันก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันตรงไหนเลย ถ้าอย่างนั้นนายก็กลับขึ้นไปเถอะ ให้ฉันนั่งรอคนอื่นต่อไปก็ได้”
ยองอุนรับรู้ได้จากน้ำเสียงว่าคนพูดไม่ได้มีเจตนาจะประชดประชัน คำที่พูดออกมาคงเป็นสิ่งที่เจ้าตัวรู้สึกจริงๆ และสำหรับเขาที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับคนตัวเล็กคนนี้ก็ควรจะทำตามนั้น เพียงแต่ขายาวกลับไม่ยอมขยับไปไหน ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมกับร่มคันเดิม
เขากำลังรู้สึกผิด…
ก็ถ้าเขาไม่คิดจะช่วยเหลือคนคนนี้จริงๆแล้วทำไมจึงได้วิ่งลงมาพร้อมกับร่มในมือคันนี้ ก็ถ้าเขาคิดอย่างที่คนร่างบางตรงหน้าพูดแล้วทำไมจึงไม่ทิ้งเจ้าของร่างนี้ให้นั่งอยู่คนเดียวเสียตั้งแต่ต้น
“เฮ้อ…” เสียงถอนหายใจยาวใหญ่ดังขึ้นก่อนที่ยองอุนจะเอื้อมมือไปดึงแขนเล็กภายใต้เสื้อแขนยาวสีขาวดุจเดียวกับกางเกงให้ลุกยืน
เจ้าของแขนเรียวมองใบหน้าคมอย่างไม่ค่อยเข้าใจ เสียงหวานเอ่ยถามสั้นๆ “อะไร?”
“ก็…มารอฉันไม่ใช่เหรอไง ฉันก็ลงมาแล้วนี่ เพราะงั้นก็ขึ้นไปที่ห้องฉันได้แล้ว ตากฝนอยู่แบบนี้มันดีต่อสุขภาพที่ไหนกัน”
ดวงตากลมคู่สวยเลื่อนไปจับยังมือใหญ่ที่ยังคงจับต้นแขนของตนอยู่ รอยยิ้มสวยเผยขึ้นพร้อมกับลักยิ้มซึ่งเป็นสิ่งที่สองบนใบหน้านี้ที่สะกดสายตาของยองอุนให้มองตาม เสียงจากคนตรงหน้าที่ได้ยินอดจะทำให้นักศึกษาหนุ่มแย้มรอยยิ้มกว้างออกมาไม่ได้
“ขอบคุณนะ”
.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.
จากบานหน้าต่างกระจกใสเหนือขึ้นไปสองชั้น ใบหน้ากลมๆของชินดงปรากฏให้เห็นผ่านรอยแยกของม่านบาง ดวงตาทั้งสองข้างที่เพ่งมองไปยังพื้นสนามหญ้าหน้าหอฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด
“ซองมินนี่…” เสียงทุ้มตัดสินใจเรียกชื่อรูมเมทของตนในท้ายที่สุด
“หืม?”
มือใหญ่เอื้อมไปดึงแขนเสื้อนอนย้วยๆของเพื่อนตัวเล็กให้มาเกาะกระจกหน้าต่างด้วยกันเมื่อสิ้นสุดเสียงขานรับแล้วเจ้าของชื่อก็ยังไม่ยอมเดินมาหา ซองมินมองอีกคนงงๆ
“อะไร อยู่ดีๆก็ลากมา”
“ดูนี่สิ”
แหวกรอยแยกของม่านออกให้กว้างขึ้นเพื่อให้เพื่อนมองเห็นได้ถนัด ที่สนามเล็กๆข้างชิงช้าไม้ตัวนั้น ร่างที่ยืนถือร่มพลาสติกอยู่คือ…
“นั่นมันพี่ยองอุนนี่” เบนหน้ากลับไปมองชินดง
รูมเมทร่างใหญ่พยักหน้ารับ “ฉันเห็นพี่เขายืนอยู่ตรงนั้นได้พักนึงแล้วเลยเรียกนายมา”
ซองมินเลื่อนสายตาลงไปมองอีกครั้ง ตอนนี้พี่ยองอุนยังคงยืนถือร่มอยู่ข้างชิงช้าตัวเดิม ท่วงท่าอาการราวกับว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ทั้งที่รอบข้างนั้น
…ไม่มีใครเลยแม้สักคน…
เสียงของชินดงเอ่ยถามขึ้นหลังจากนั้น “นายว่ายังไงล่ะ พี่เขาเหมือน…กำลังคุยอยู่กับใครใช่ไหม”
คนฟังเงียบไปพักหนึ่งจึงถอนหายใจออกมา “เฮ้อ…ไม่รู้สิ ไม่อยากจะคิด ช่างเหอะชินดง ฉันว่ารีบๆไปเข้านอนจะดีกว่า พรุ่งนี้มีเรียนเช้านะ”
ซองมินเดินจากไปได้พักหนึ่งแล้วหากทว่าชินดงกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาทั้งคู่เพ่งมองตามร่างของพี่ชายจวบจนกระทั่งร่างนั้นเดินกลับเข้าหอพักไป คำถามที่ยังคงค้างคาใจกับภาพที่ปรากฏให้เห็นสดๆร้อนๆดังก้องอยู่ในหัวไม่จางหาย
…พี่ยองอุนคุยกับใครอยู่?…
.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.
ห้องพักขนาดสองคนอยู่แต่กลับถูกจับจองพื้นที่ทั้งหมดไว้โดยคนเพียงคนเดียวในตอนนี้ได้ถูกเปิดออกเพื่อต้อนรับผู้มาใหม่แล้ว ยองอุนเอื้อมปิดประตูเมื่อร่างบางเดินเข้ามาในห้องได้เต็มตัว ชายหนุ่มวางร่มคันที่เปียกฝนแทบจะพอๆกับตัวเขาเองไว้หน้าห้องพร้อมกับวิ่งหายเข้าไปในห้องนอนพลางกล่าวกับผู้มาเยือนไปพร้อมกัน
“นายหาที่นั่งรออยู่แถวนั้นก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะหาผ้าขนหนูให้”
เพียงไม่นาน เจ้าของห้องก็เดินกลับออกมาพร้อมกับผ้าผืนใหญ่ในมือ ยองอุนเดินนำคนร่างบางไปนั่งบนโซฟาเล็กๆในส่วนนั่งเล่นที่ติดกับระเบียงห้องเมื่อพบว่าคนที่บอกว่ามารอเขาแค่เพราะเขาเห็นเจ้าตัวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
มือที่ยื่นส่งผ้าขนหนูนุ่มผ่านไปยังอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันชะงักน้อยๆเมื่อพบว่าเม็ดฝนที่ควรจะเกาะพราวอยู่ตามใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ต่างไปจากเขากลับไม่ปรากฏให้เห็น ใบหน้าขาวกระจ่างแม้ในห้องพักที่มีเพียงแสงนีออนจวนเจียนดับ
สงสัย หากก็ไม่เอ่ยอะไรนอกไปเสียจากการถามไถ่ดังเจ้าบ้านที่เต็มใจให้การต้อนรับ
“หนาวรึเปล่า เดี๋ยวฉันไปชงชาร้อนๆให้เอาไหม”
เจ้าของมือเรียวที่รับผ้าไปคลุมทับร่างเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ “อย่าลำบากเลย”
ยองอุนยิ้มกว้าง “ไม่ลำบากตรงไหนนี่ ชงชาเรื่องกล้วยๆ รอแป๊บเดียว”
ให้คำมั่นพลางเดินตรงเข้าครัวเล็กๆไป มือหนาหยิบจับข้าวของคล่องแคล่ว ไม่ช้าไม่นานชาร้อนควันกรุ่นก็ถูกชงสำเร็จเรียบร้อย นักศึกษาหนุ่มร่างสูงยังคงยืนนิ่งอยู่ในครัวนั้นขณะปล่อยความคิดล่องลอยไปกับความสงสัยเกี่ยวกับคนที่นั่งรอเขาอยู่ข้างนอก
ก็ไม่แปลกหรอกหรือ…ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำเท ร่างที่ควรจะเปียกปอนด้วยหยดน้ำดังเช่นตัวเขาในเวลานี้กลับแห้งสนิทดุจว่าอยู่ภายใต้ชายคาที่มองไม่เห็น เสียงใสหวานที่ยอมรับว่าไพเราะกว่าเสียงของเพื่อนสาวบางคนที่มหาวิทยาลัยเสียอีกกลับกังวานก้อง ยิ่งในห้องพักยิ่งชัดเจนว่าแผกไปจากเสียงของคนทั่วๆไป แม้กระทั่งใบหน้าที่ควรจะต้องซีดเซียวด้วยความหนาวเย็นจากอุณหภูมิท่ามกลางฝนพรำก็กลับฝาดสีเลือดดังไม่ได้สัมผัสกับอากาศหนาวแม้เพียงนิด แล้วยังมือเรียวคู่นั้น ยามเมื่อสัมผัสลงบนผิวเนื้อของเขากลับเย็นเฉียบตัดกับอุณหภูมิร่างกายที่มนุษย์พึงมี
ร่างบางคนนั้นเป็นใครกันแน่นะ?
สะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวไปเมื่อคิดได้ว่าเวลาที่ขอมาชงชาชักจะนานเกินไปเสียแล้ว ยองอุนเดินออกมานั่งลงตรงข้ามกับคนที่เลื่อนสายตามองข้าวของเครื่องใช้ในห้องของเขาไปเรื่อยเปื่อย รอยยิ้มสวยวาดขึ้นบนเรียวปากบางเมื่อเจ้าตัวพบว่าคนที่ตนบอกว่ารอกลับมาพร้อมกับชาร้อนๆดังที่บอกไว้เมื่อครู่แล้ว
“ไหนบอกว่าไม่ลำบากไง หายไปนานเลย”
“ก็ไม่ลำบากไง แต่ฉันจะล้างจานล้างชามของฉันบ้างไม่ได้เหรอ” พูดตามน้ำออกไป
คนฟังพยักหน้ารับขณะเลื่อนมือเรียวลงกุมถ้วยชาร้อนนั้นไว้นิ่งเหมือนจะใช้เป็นเครื่องให้ความอบอุ่นเสียมากกว่า คนหน้าหวานเลื่อนสายตามองไปที่อื่นราวกับไม่ได้คาดหวังในคำตอบใดอื่นจากเจ้าของห้อง
คนตัวสูงมองตามใบหน้าเรียวนั้น คิ้วโก่งบางเหนือดวงตาเรียวสวย จมูกโด่งสัน และริมฝีปากบางสีสดตัดกับผิวขาวละเอียด
สวย…มากกว่าหล่อ
นานแล้วกระมังที่เขาไม่ได้ยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือใคร คนอย่างคิมยองอุนไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ แต่เพราะตัวเองไม่ชอบให้ใครมาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว เพราะฉะนั้นพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่นเขาจึงไม่เคยเข้าไปบุกรุก ไอ้ประเภทที่จะวิ่งโร่ออกไปหาท่ามกลางสายฝนก็ยิ่งไม่ทำ
แต่วันนี้ เพียงแค่เห็นร่างบอบบางท่ามกลางเม็ดฝนตกกระหน่ำจากหน้าต่างสูง จะปล่อยให้ตากฝนต่อไปเสียก็ได้ แต่ร่างกายที่ทำงานไปก่อนสมองก็คว้าร่มวิ่งลงมาจนถึงอาคารชั้นล่างสุดเสียก่อนแล้ว แล้วยิ่งได้เห็นใบหน้าหวานเศร้าสร้อยลงเมื่อเอ่ยไล่เขากลับขึ้นห้องมาเสียเมื่อครู่ก็ยิ่งไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้
นี่ไม่ใช่การบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้านี้หรอกหรือ…
ยองอุนสะดุ้งน้อยๆเมื่อจู่ๆคนที่อยู่ในความคิดก็หันใบหน้ากลับมามองสบตากับเขา คิ้วโก่งเลิกขึ้นประกอบคำถาม
“มีอะไรรึเปล่า”
“อ่อ อา…” ติดอ่างขึ้นมาเสียดื้อๆ ไอ้ครั้นจะให้ตอบว่า…ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากมอง…คงได้โดนอีกฝ่ายมองเป็นตัวประหลาดแน่นอน
“หืม?” เอียงหน้ามองรอคำตอบ
“คือ…ฉันจะถามว่านายมารอฉันทำไมน่ะ” เอ่ยออกมารวดเดียวในทันทีที่คิดออก เพราะที่เขาถามคนตรงหน้าไปเมื่อครู่ตอนที่อยู่ข้างล่างนั้นก็ได้รู้แต่เพียงแค่เพราะเขาเห็นอีกฝ่ายจึงได้รอ เหตุและผลที่ไม่ค่อยจะสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ยองอุนสงสัยอยู่ไม่น้อยไปกว่าลักษณะอาการที่แปลกไปจากคนทั่วๆไปของร่างบางนี้เลย
“อา…” เสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ ใบหน้านั้นดูเคลือบแฝงไว้ด้วยความกังวล “คือฉันมีเรื่องอยากจะรบกวนนาย คงต้องรบกวนมากๆด้วย”
“รบกวน?” ทวนคำงงๆ “ทำไมนายถึงได้เลือกมารบกวนฉันล่ะ”
ที่ถามออกไปก็เพราะสงสัยจริงแท้ คนร่างสูงไม่ได้มีจุดประสงค์จะกวนประสาทอีกคนแต่อย่างใด หากคนที่เอ่ยรบกวนจะคิดอย่างไรก็คงไม่อาจรู้ได้เลยเมื่อใบหน้านั้นก้มลงต่ำซ่อนเร้นไว้จากสายตาคม
“ก็เพราะ…เพราะนายมองเห็นฉัน” ตอบเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ แต่ก็เพราะเหตุผลที่มีก็มีเพียงแค่นั้น แค่เหตุผลวนอยู่ในอ่างที่ทำให้ยองอุนงงหนักกว่าเดิม
“อะไรนะ นี่นายจะบอกว่านอกจากที่รอฉันเพราะฉันเห็นนายแล้วก็ยังเลือกรบกวนฉันเพราะฉันเห็นนายอีกอย่างนั้นเหรอ” ทวนความเข้าใจของตัวเองให้อีกคนฟังเสียงดัง คนฟังพยักหน้ารับ
ยองอุนขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง แล้วจะมีใครที่มองไม่เห็นนายบ้างล่ะ”
ใบหน้าเรียวที่ก้มต่ำเงยขึ้นหลังจบประโยคคำถามนั้น เสียงหวานเอ่ยเศร้าสร้อย “ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นฉันหรอก”
“อะไร หมายความว่ายังไง”
เจ้าของใบหน้าหวานสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกไป “ฉัน…ฉันไม่มีร่างกาย”
ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆกลับมาจากยองอุน ดวงตาคมไล่มองใบหน้าเรียว เสื้อผ้าสีขาวสะอ้านทั้งตัว ซ้ำยังมีผ้าขนหนูของเขาคลุมทับกายกับแก้วชาร้อนในมือเรียว
อะไรคือไม่มีร่างกาย…
“ฉัน…เป็นวิญญาณ”
ความเงียบงันลอยตัวคว้างท่ามกลางห้องพักที่ยังคงได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบหน้าต่างดังแว่วๆ หากเสียงนั้นกลับดูจะหมดความสำคัญลงไปเมื่อคำขยายความเบาหวิวกระจ่างชัดในโสตสัมผัสของยองอุน ชายหนุ่มอ้าปากค้าง สมองเริ่มประมวลผลสิ่งที่เขาได้เห็นตั้งแต่เมื่อเย็นตอนที่กลับมาถึงหอพักจนกระทั่งถึงวินาทีนี้
ชิงช้าไกวไหวแม้ไร้แรงลมหนุนพัด…ร่างท่ามกลางสายฝนกระหน่ำไร้หยดน้ำเกาะพราว…เสียงหวานกังวานก้องแผกไปจากคนปกติ…มือเรียวเย็นเฉียบดุจไม่มีอุณหภูมิร่างกาย
วิญญาณ…งั้นหรือ? วิญญาณหรือที่เรียกกันง่ายๆว่าผีที่ยองอุนกลัวอย่างนั้นหรือ?
“กลัวใช่รึเปล่า”
เสียงหวานล่องลอยปลุกยองอุนขึ้นจากห้วงความคิดของตัวเอง
กลัวงั้นหรือ…ก็ต้องกลัว แต่ครั้นเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนถามปรากฏรอยยิ้มเศร้าแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าความกล้าหาญที่วิ่งหนีหายไปเสียนานหายตัวกลับมาหาได้อย่างไร
ดวงตาคมดำขลับยังคงจับจ้องใบหน้าเรียวขาวกระจ่างในความมืดตรงหน้านิ่งงัน ไม่มีคำตอบนอกเหนือจากความเงียบที่ดังก้อง ร่างที่เพิ่งเฉลยต่อเขาว่าเป็นวิญญาณเอ่ยต่อไป
“ไม่เป็นไรหรอกที่นายจะพูดว่ากลัว ฉันไม่ได้มาขอให้นายช่วยเป็นคนแรกหรอก คนอื่นๆ…ปฏิเสธฉันมาแล้วทั้งหมด ถ้านายจะปฏิเสธฉันก็เข้าใจ แค่อยากจะขอบคุณที่ยังยอมนั่งคุยกับฉันถึงตอนนี้ก็เท่านั้น”
“นายพูดอะไร” โพล่งถามขึ้นขัด อีกฝ่ายมองตามอย่างไม่เข้าใจ
“ใครที่ไหนจะกล้าพูดว่าไม่กลัวผี ฉันกลัวสิ กลัวมากด้วย…”
คนได้ฟังปล่อยเสียงหัวเราะหมองๆ “ก็เท่านั้นเอง งั้นฉันก็จะไป”
ดวงตาเรียวสวยค่อยหลับลงช้าๆดังเช่นที่ทำมาหลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ ร่างบางเที่ยวปรากฏร่างไปหาคนที่คิดว่าสามารถช่วยเหลือเขาได้ด้วยสัมผัสพิเศษที่อนุญาตให้มีกับเฉพาะคนที่กำลังจะสิ้นลมหายใจอย่างเขาเท่านั้น คำปฏิเสธไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าอาการเชื้อเชิญเพียงเพราะเข้าใจผิดในครั้งนี้
เพียงแต่แค่คนที่เสียสละร่มของตัวเองมาให้เขาเกือบทั้งคันเอ่ยคำปฏิเสธออกมาเท่านั้น ก็เพียงแค่นี้ที่ทำให้กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
ร่างบางไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรเลยจริงๆ…เขาก็แค่ผิดหวังเท่านั้น ความหวังที่กำลังพองตัวที่จะหาคนช่วยเหลือในวินาทีคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นกับความตาย ก็แค่ผิดหวังที่มันกลายเป็นศูนย์เหมือนเดิม
เขา…คงเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับคนที่มีเนื้อหนังสมบูรณ์แบบที่เขาเองก็เคยมีมากเลยสินะ
หยดน้ำตาคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเหลือทิ้งไว้ให้คนร่างสูงคนนี้รู้สึกผิดไปจนชั่วชีวิตเมื่อเสียงห้าวนั้นเอ่ยขึ้นมาในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่คนร่างบางจะทันได้จากไปจากห้องนี้
“บอกว่าจะรบกวนฉันแล้วก็จะหนีไปทั้งแบบนี้น่ะเหรอ”
“เอ๋?” ดวงตาคู่สวยลืมพรึ่บเมื่อได้ยินเสียงนั้น หยดน้ำตายังคงรินไหลหากมือบางก็เลื่อนขึ้นปาดมันทิ้งไป
ยองอุนยกยิ้มรอท่า “ทำไมจะต้องร้องไห้ด้วย ฉันบอกสักคำแล้วเหรอว่าจะไม่ให้นายรบกวนน่ะ”
“ก็นาย…” คนที่เพิ่งปล่อยน้ำตาให้ไหลรินต่อหน้าเจ้าของห้องตัวสูงเอ่ยติดๆขัดๆ “นายบอกว่านายกลัว”
“วิญญาณจะต้องขี้แยแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า ฉันแค่บอกว่ากลัว แต่ในเมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว คุยกันมาก็ตั้งนานขนาดนี้ จะให้ฉันนิ่งดูดายได้เหรอ”
ประโยคแรกถูกละเลยเมื่อสองสามประโยคหลังบอกชัดว่าคนตัวสูงคนนี้พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ใบหน้าเรียวหวานยิ่งหวานขึ้นเมื่อรอยยิ้มยินดีกระจายเกลื่อน
“จริงๆนะ นายจะช่วยฉันจริงๆใช่ไหม”
ฟังเสียงใสที่ร่าเริงราวกับความฝันของตนเป็นจริงขึ้นมาในที่สุดแล้วก็อมยิ้ม นักศึกษาหนุ่มผู้กลัวผียิ่งกว่าอะไรทั้งหมดยักคิ้วให้อีกฝ่าย เสียงนุ่มกล่าวกลั้วหัวเราะ
“บอกมาสิว่าจะให้ช่วยอะไร…”
คำบอกเล่าจากร่างบางทำให้ยองอุนได้รับรู้ว่านับตั้งแต่ที่ร่างของเจ้าตัวถูกชนโดยรถสิบล้อคันใหญ่ตรงถนนโล่งค่อนไปทางแถบชานเมือง วิญญาณของเจ้าตัวก็เที่ยวร่อนเร่ไปหาคนที่พอจะมองเห็นและช่วยพาวิญญาณนี้กลับเข้าร่างที่ยังรู้สึกได้ว่ามีลมหายใจแม้จะรวยริน หากนอกจากจะไม่มีใครยอมช่วยเหลือแล้ว ผู้ที่พอจะมองเห็นร่างนี้ก็กลับวิ่งหนีหรือไม่ก็ขับไล่ไปด้วยความหวาดกลัว จนมาถึงเขาก็เป็นคนที่หก
“แล้วตอนนี้ร่างของนายอยู่ที่โรงพยาบาลอะไรล่ะ” ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันจบเรื่องเล่าของตัวเองลงแล้ว
ใบหน้าหวานส่ายไปมาช้าๆ “ไม่รู้เลย พอฉันรู้ตัวอีกทีก็ห่างออกมาจากที่ที่โดนรถชนแล้ว”
“อืม…” พยักหน้ารับเบาๆ ยองอุนก้มหน้าลงอย่างใช้ความคิด แม้อาจจะไม่มีความหวัง แต่สถานที่สุดท้ายที่คนร่างบางรู้สึกตัวน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดที่จะหาโรงพยาบาลที่รักษาร่างกายนี้ไว้พบ
ยองอุนเงยหน้าขึ้นอีกครั้งหลังจากสรุปกับตัวเองได้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป “ถ้าอย่างนั้นนายจำถนนที่นายถูกรถชนได้ไหม”
“จำได้”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะไปเริ่มต้นกันที่นั่น ไปกันเถอะ” เจ้าของห้องลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คำพูดและท่าทางเป็นการเชื้อเชิญให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันลุกขึ้นตาม “โชคดีที่ฉันมีจักรยานอยู่นะ ไม่งั้นคงลำบาก ไป…”
“เดี๋ยวก่อน”
หันไปหาคนที่เดินตามมาพร้อมส่งเสียงเรียกรั้ง ยองอุนเลิกคิ้วขึ้นแทนคำถาม
“คือฉัน…เอ่อ ชื่อ…นาย” เสียงตะกุกตะกักที่ประกอบออกมาเป็นคำมากกว่าประโยคทำให้คนฟังยิ้มขำ
จริงสินะ…ก็ตั้งแต่นั่งคุยกันมาเขายังไม่ได้แนะนำตัวกับร่างบางนี้เลย
คนตัวสูงกว่าเดินกลับมาหาร่างที่ยืนนิ่งอยู่ห่างออกไป มือเย็นเฉียบดุจไร้อุณหภูมิไม่ได้เป็นอุปสรรคอีกแล้วเมื่อมือใหญ่เอื้อมลงจับไว้อย่างอบอุ่น รอยยิ้มกว้างเปิดเผยความจริงใจถูกส่งตรงไปยังเจ้าของมือเรียวในอุ้งมืออุ่นนี้
“จะถามชื่อเหรอ” ก้มหน้ามองตามใบหน้าหวานที่เบนหลบ เขาก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าคนที่แนะนำตัวกับเขาว่าเป็นวิญญาณจะแสดงอาการขลาดเขินได้น่าเอ็นดูเสียยิ่งกว่าคนปกติหลายเท่านัก
“ฉันชื่อคิมยองอุน ยินดีที่ได้รู้จักและได้ช่วยเหลือนะ”
คนอยากรู้ชื่อยอมหันหน้ากลับมาสบตา รอยยิ้มที่ได้เห็นแล้วมั่นใจว่าเป็นสัญลักษณ์แทนความสุขปรากฏขึ้นบนเรียวปากสีสวย
“ปาร์คจองซู ขอรับความช่วยเหลือนี้ไว้ด้วยความขอบคุณ”
ยองอุนหัวเราะให้กับประโยคแสนสุภาพนั้น มือใหญ่กว่ากระชับมือเรียวไว้มั่นขณะเอ่ย “ไปกันเถอะ”
จองซู…บริสุทธิ์เหมือนสีขาวของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ผิดจริงๆ
.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.
สายลมเย็นหลังฝนซาเม็ดยามดึกพัดผ่านเส้นผมอ่อนบางให้พลิ้วไหวระต้นคอระหง จักรยานที่ยองอุนขับดูจะเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อถนนที่จองซูบอกทางให้นั้นโล่งสนิทไร้ซึ่งรถยนต์แม้สักคันวิ่งสวนผ่าน มือบางที่พาดอ้อมเอวของอีกฝ่ายไว้เพิ่มแรงรัดขึ้นเมื่อจักรยานเข้าโค้ง ยองอุนเผยรอยยิ้ม ในใจนึกอยากจะให้เส้นทางทอดยาวมากกว่านี้อีกสักนิด แต่ก็คงเป็นโชคร้ายบนความโชคดีดีที่ถนนสายดังกล่าวทอดตัวอยู่ไม่ห่างไปจากเขตมหาวิทยาลัยของเขาเสียเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้ ภายในเวลาไม่นานจุดที่จองซูจำได้ว่าถูกรถชนก็ปรากฏให้เห็น
“แถวนี้แหละ” เสียงหวานเอ่ยขณะปล่อยมือออกจากเอวของสารถีผู้อุตส่าห์สละเวลาอ่านหนังสือของตนมาตามหาโรงพยาบาลที่ไม่รู้แม้ย่านที่ตั้งให้กับเขา
จองซูกระโดดลงจากจักรยานเพื่อเดินตรงไปหาร่องรอยที่น่าจะมีเจ้าหน้าที่มามาร์คจุดเอาไว้ ยองอุนเดินตามหลังไปช้าๆจนกระทั่งดวงตาคมมองเห็นรอยพ่นสเปรย์บนพื้นถนนที่ร่างบางหยุดยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ตรงนี้เหรอ”
“อืม”
ร่างสูงกวาดมองพื้นที่รายรอบ ถนนยามค่ำคืนมืดมิดมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าต้นสูงส่องลงมาให้ความสว่างน้อยนิด ไม่มีวี่แววว่าจะหาคนที่พอจะรู้เห็นเหตุการณ์เพื่อถามไถ่ให้รู้ความได้เลย
ใบหน้าหวานที่หันมองแฝงแววกังวลไม่ต่างจากเสียงหวาน “เราจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะ”
คนถูกถามไม่ได้ตอบ คงเพราะมืดมนด้วยหนทางก็ส่วนหนึ่ง หากทว่าในวินาทีที่มีเพียงความสิ้นหวังลอยฟุ้งอยู่รอบกาย เสียงเรียกจากหญิงชราที่เบื้องหลังก็ทำให้คนร่างสูงหันมองแทบจะทันที
“พ่อหนุ่ม มายืนทำอะไรคนเดียวบนถนนมืดๆแบบนี้กันล่ะฮึ” กระแสเสียงอ่อนเบาสั่นเครือด้วยอายุของหญิงชราเอ่ยถาม
“คุณยายครับ คือ…ที่นี่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่นานใช่ไหมครับ” ย้อนถามด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ใบหน้าคมปรากฏรอยยิ้มยินดีเมื่อคู่สนทนาพยักหน้ารับ
“ใช่แล้ว เมื่อสองวันก่อนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นน่ะ เด็กหนุ่ม…น่าเสียดายที่ยังหนุ่มนัก โดนรถชนเข้า”
“แล้วเขาถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลอะไรเหรอครับ” ซักต่อโดยไม่รอให้เธอพูดอะไรมากไปกว่านั้น
หญิงชราขมวดคิ้วเข้าหากัน อาการที่แสดงราวกับกำลังนึกย้อนความทรงจำของตัวเอง “ฉันได้ยินเขาพูดกัน บอกว่าโรงพยาบาล A”
ยองอุนก้มหัวลงต่ำ เสียงทุ้มรัวพูด “ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากๆครับคุณยาย ขอบคุณ”
เอ่ยได้เพียงคำขอบคุณทิ้งท้ายก่อนจะพุ่งตัวตรงไปยังจักรยานที่จอดรอท่าอยู่ไม่ไกลพร้อมกันกับจองซู นักศึกษาหนุ่มบังคับพาหนะสองล้อให้เคลื่อนห่างออกไปด้วยความรวดเร็วท่ามกลางสายตาของหญิงชราที่มองตาม เสียงสั่นเครือเอ่ยเบาๆก่อนที่ร่างทั้งร่างจะค่อยๆเลือนลงจนกระทั่งหายไป
‘มันยังไม่ถึงเวลาของเจ้าหรอก เด็กน้อย จงไปเสียเถิด รีบไปเสียให้ทัน…’
.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.
โรงพยาบาล A
ทางเดินเข้าทอดยาวสว่างไสวดังที่โรงพยาบาลเอกชนจะพึงมี ชายหนุ่มรีบวิ่งตรงเข้าไปสอบถามนางพยาบาลที่เฝ้าเวรอยู่ตรงเคาน์เตอร์ทันที
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคนไข้ชื่อปาร์คจองซูที่โดนรถชนเมื่อสองวันก่อนตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ส่งเสียงถามไม่เบานักประกอบกับสีหน้าเอาเรื่องจนกระทั่งเจ้าของชื่อที่ตามหลังมาต้องจับต้นแขนนั้นหวังจะปรามไว้บ้าง
เสียงหวานเอ่ยข้างกายเพียงแผ่ว “ไม่ต้องร้อนรนแบบนั้นก็ได้ ฉันคงยังไม่ตายเร็วๆนี้หรอก”
คำว่าคงยังไม่ตายเร็วๆนี้ช่างตบตากันได้ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย หางตาลอบมองร่างที่มาหยุดอยู่เคียงกัน เลือนรางในแสงจ้า แผกไปจากเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ยังอยู่ในห้องพักของเขาอย่างสิ้นเชิง แบบนี้น่ะหรือที่เรียกว่าคงยังไม่ตายเร็วๆนี้
“ขอโทษด้วยนะคะ แต่ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคุณจองซูเหรอคะ” เธอย้อนคำถามกลับมาหายองอุน
ชายหนุ่มจ้องตากลับ ไม่คาดคิดว่าเมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วยังจะต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากแบบนี้อีก เสียงห้าวตอบกลับห้วนสั้น
“เพื่อนครับ”
“เพื่อน?” นางพยาบาลทวนคำ “ชื่ออะไรคะ”
“คุณ!!!” ท่าทางและน้ำเสียงราวกับกำลังดูถูกทำให้ยองอุนหมดความอดทน มือใหญ่ตบลงบนเคาน์เตอร์ด้วยแรงมหาศาลอย่างที่ไม่เกรงความเจ็บ เสียงที่เรียกตวาดก้องจนคนผ่านมาหันมอง
จองซูแตะมือลงบนแขนที่ท้าวอยู่เหนือศีรษะของพยาบาลที่หน้าซีดเผือดไปถนัด “ยองอุน…”
เสียงเรียกชื่อเพียงแผ่วเบาฉุดรั้งสติที่ปลิวว่อนหายไปในอากาศให้กลับมารวมกันได้อีกครั้ง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าจองซูคนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่ตอนนี้จะเป็นลูกหลานใครหรือใหญ่โตมาจากไหนถึงขั้นว่านางพยาบาลธรรมดาๆจะต้องมาคอยซักไซ้ไล่เรียงคนที่ถามถึง แต่ตอนนี้เขามีเรื่องด่วนที่จะต้องทำ เรื่องที่รอให้ใครมานั่งซักประวัติไม่ได้
“ผมชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหนมันไม่สำคัญหรอกนะครับ ผมพูดถูกรึเปล่าว่าคุณจองซูของคุณกำลังอยู่ในขั้นโคม่า แม้แต่ลมหายใจก็กำลังจะยื้อไว้ไม่อยู่แล้ว กรุณาบอกผมด้วยเถอะครับว่าตอนนี้เขากำลังรักษาตัวอยู่ที่ไหน”
น้ำเสียงแน่วแน่และแววตาเอาเรื่องที่ยังคงคุกรุ่นคงเพียงพอที่จะกดดันนางพยาบาลคนดังกล่าวให้ยอมบอกข้อมูลออกมาได้ เพราะเพียงสิ้นสุดคำถามย้ำเป็นครั้งที่สองของเขา เธอก็รีบตอบทันที
“ห้องไอซียูชั้นสิบค่ะ”
ไม่มีเสียงขอบคุณดังเคย ยองอุนรีบตรงดิ่งไปยังลิฟต์ตัวที่จะพาเขาขึ้นไปยังห้องที่คนร่างบางพักรักษาตัวอยู่ในทันที
การพักรักษาตัวในชั้นที่อยู่สูงขนาดนั้นก็คงเป็นชั้นที่สร้างไว้เฉพาะคนที่มีความสำคัญจริงๆนั่นแหละ…
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ยองอุนก็ไม่คิดถามคนที่มาขอความช่วยเหลือจากเขาว่าแท้จริงเป็นคนสำคัญอย่างไร เพราะเพียงแค่เมื่อประตูลิฟต์ปิดเข้าหากันจนสนิท ร่างที่เลือนรางอยู่แล้วเป็นทุนเดิมของจองซูก็ทรุดลงกองกับพื้นไม่ห่างไปจากจุดที่เขากดปุ่มสั่งการให้ลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นสู่ชั้นบน
ร่างสูงตรงดิ่งไปยังอีกฝ่ายที่สีหน้าดูจะเหนื่อยล้าเต็มที เสียงทุ้มเอ่ยถามร้อนรน
“จองซู…จองซู…เป็นอะไรไป”
“เหนื่อย…” คำตอบสั้นและไร้ซึ่งน้ำเสียงสดใสดังเช่นที่ได้ยินเมื่อแรกพบทำให้คนฟังใจหาย มือใหญ่ข้างหนึ่งแตะลงบนพวงแก้มซีดขาวในขณะที่มืออีกข้างสอดลงโอบรอบแผ่นหลังบางไว้
“เดินเองไม่ไหวแล้วใช่ไหม จองซู ตอบหน่อยสิ อย่าเพิ่งหลับนะ”
ดวงตาคู่สวยพยายามฝืนลืมพลางเอ่ย “อืม คงไม่ไหว”
“ขี่หลังฉัน” ชายหนุ่มร่างสูงจัดแจงพาดท่อนแขนเรียวทั้งสองข้างให้วางลงบนบ่าของเขาในทันที ยองอุนค่อยๆลุกขึ้นยืน บนหลังประคองดวงวิญญาณที่แทบไร้เรี่ยวแรงอาจเพราะวันเวลาที่ออกจากร่างไปนานนั้นไว้
“ยองอุนอา…” เสียงหวานแม้แผ่วเบากระซิบอยู่ข้างหู เจ้าของชื่อเงียบเพื่อรับฟัง “ขอบคุณจริงๆนะ”
“ฉันจะรับคำขอบคุณจริงๆก็ต่อเมื่อนายกลับเข้าไปในร่างของตัวเองแล้วขอบคุณฉันตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เข้าใจรึเปล่า”
จองซูหัวเราะเบาๆ “ฉันกลัวจะไม่ไหว”
ดวงตาคมเหลือบมองตัวลิฟต์ที่ค่อยเคลื่อนใกล้ชั้นที่สิบไปเรื่อยๆ เสียงทุ้มเอ่ยกับร่างที่อยู่บนหลังไปพลาง
“ไหวสิ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง ทนอีกหน่อยเถอะนะ ฉันช่วยนายมาขนาดนี้แล้วมันจะจบลงง่ายๆอย่างนี้ได้ยังไง”
“นายเก่ง” ตอบเสียงเบา
ก็หากเป็นเวลาปกติยองอุนคงจะหัวเราะไปกับคำชมที่ไม่ได้ยินมานานนี้ได้ แต่คงไม่ใช่กับตอนนี้ ตอนที่คนพูดกำลังจะจากไปตลอดกาล
“นายก็ต้องเก่งกับฉัน ถึงแล้วล่ะจองซู อดทนไว้นะ”
ชั้นที่ประตูลิฟต์เปิดออกนั้นร้างผู้คน ที่สุดปลายทางมองเห็นห้องกระจกเพียงห้องเดียวบนชั้นทั้งชั้น ยองอุนประคองร่างของจองซูตรงไปยังห้องห้องนั้น
ภาพที่ดวงตาคมมองเห็นเป็นภาพของร่างบอบบางเช่นเดียวกันกับร่างที่พาดแขนไว้รอบลำคอของเขาอยู่ในตอนนี้ แขนขาวเรียวเล็กที่ได้สัมผัส เบื้องหน้ากลับเจาะสายระโรงระยาง เครื่องช่วยหายใจครอบทับใบหน้าเรียวขาว ดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม เสียงเครื่องวัดชีพจรยังคงดังต่อเนื่องแม้จะดูอ่อนแรงเต็มที
จองซูเอ่ยถามเบาๆ “น่ากลัวรึเปล่า”
“อะไรน่ากลัว ก็เหมือนนายตอนนี้นั่นแหละ” แว่วได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนบนหลัง ยองอุนพูดต่อไป “นายจะต้องกลับไปนะจองซู ฉันพามาส่งแล้ว”
“ฉันกลัว…”
เหลือบมองใบหน้าใสที่เอียงซบอยู่บนบ่าของตนขณะถาม “กลัวอะไร”
“เยอะแยะไปหมด”
คำตอบเลี่ยงๆราวกับจะยื้อเวลาทำให้คนฟังต้องตัดใจ เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยใช้กับใคร
“จองซูอา…”
“หืม?” ตอบรับเบาๆ
“ความกลัวไม่ทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้หรอกนะ”
“บางทีฉันก็ไม่อยากจะเดินหน้า”
“เพื่อฉัน” สิ่งที่ยองอุนกำลังพูด ไม่ได้โน้มน้าว หาก…ขอร้อง “ถือว่าทำเพื่อฉันเถอะนะ กลับเข้าไปอยู่ในที่ที่นายควรจะต้องอยู่ แล้ววันที่นายออกจากห้องนี้ได้ฉันก็จะมาเยี่ยม มารับคำขอบคุณไง ตกลงไหม”
รับรู้ถึงกลุ่มผมนุ่มที่เคลียอยู่ที่ลำคอเมื่อเจ้าของร่างที่เขาประคองไว้บนหลังพยักหน้ารับ ยองอุนเผยยิ้ม
“ดี งั้นบอกฉันมาสิว่านายจะต้องทำยังไงต่อไป นี่มันอยู่นอกกระจกเชียวนะ”
ดวงตาคู่ที่หลับพริ้มอย่างอ่อนล้าฝืนลืมขึ้นช้าๆเพื่อมองร่างอีกร่างของตนในห้องกระจก เสียงใสบอกกับคนที่ยังคงประคองร่างของเขาไว้เบาๆ
“นายต้องปล่อยฉันลงแล้วล่ะ”
ยองอุนทำตามคำพูดนั้น ชายหนุ่มปล่อยให้จองซูยืนเองแม้จะยังคงจับมือเรียวข้างหนึ่งไว้เพื่อประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรง ร่างบางวางมืออีกข้างของตนลงบนแผ่นกระจกใสขวางกั้น ใบหน้าหวานเบนกลับมาหาคนตัวสูงที่จับมืออีกข้างของเขาไว้นิ่งนานราวกับเป็นครั้งสุดท้าย
“ขอบคุณจริงๆที่ช่วยฉันไว้ ไม่ได้นายฉันคงต้องตายไปจริงๆ”
คนฟังยิ้ม “ฉันยินดีช่วยเหลือ และดีใจที่ได้ช่วย”
“ฉันรู้” รอยยิ้มแม้บางเบาทว่าลักยิ้มสวยก็ยังคงปรากฏให้ได้เห็น “ฉันต้องไปแล้วจริงๆใช่ไหม”
“อืม” ตอบรับแม้จะรู้สึกได้ว่าใจหาย
“งั้นก็…ปล่อยมือฉันออกเถอะ”
ยองอุนก้มลงมองมือเรียวขาวที่เขายังจับยึดเอาไว้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยืนมองอยู่แบบนี้นอกเสียจากจะส่งผลร้ายต่อเจ้าของมือข้างนี้เสียอีก อุ้งมือที่กอบกุมรอบนิ้วเรียวค่อยคลายออกช้าๆจนมือของจองซูถูกปล่อยออกเป็นอิสระในท้ายที่สุด
แสงเจิดจ้าบาดตาปรากฏขึ้นในวินาทีเดียวกับที่ยองอุนปล่อยมือบางนั้นออกจากการเกาะกุม แม้แสงที่เกิดขึ้นต่อหน้าจะจ้ามากเสียจนควรจะต้องปิดตาเพื่อหลบหนีไปเสีย หากชายหนุ่มร่างสูงกลับไม่ทำเช่นนั้น ดวงตาคมยังคงมองใบหน้าของคนที่กำลังยิ้มให้เขาแม้จะเห็นชัดว่าน้ำตาหยดเล็กไหลเลี้ยวลงตามใบหน้าเรียวขาวนั้น และก็คงเป็นเพียงแค่น้ำตาหยดเดียวที่มีโอกาสได้เห็นเมื่อแสงนั้นมืดดับลงพร้อมกับวิญญาณของจองซูที่จางหายไป
เสียงเครื่องตรวจวัดชีพจรดูจะทำงานแข็งขันขึ้นมาเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าวิญญาณดวงที่ช่วยเหลือไว้กลับเข้าสู่ร่างของตนได้ในที่สุด ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มในวินาทีที่หันหลังเดินจากมา
เขาส่งจองซูให้เดินหน้าไปได้แล้ว เพราะฉะนั้น การสอบที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้เขาก็คงจะต้องกลับไปเริ่มต้นเดินหน้าต่อบ้างแล้วละมัง…
.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.
ผ่านไปแล้วหลายอาทิตย์ คิมยองอุนคนที่ชอบงีบหลับก็ยังคงงีบหลับอยู่อย่างเดิม ดังนั้นแล้ว คิมฮีชอลผู้คอยตามบ่นก็จึงไม่วายต้องคอยบ่นคอยว่าอยู่อย่างเดิมเช่นเดียวกัน
วันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม พี่ชายหน้าหวานนัดให้ยองอุนไปทำงานของชมรมตอนช่วงเย็นหลังเลิกเรียนอีกเช่นเคย พี่ชายร่างเพรียวไม่เคยเข็ดแล้วก็คงไม่คิดเข็ดขยาดกับนิสัยอู้งานของเขาแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตอนนี้ร่างสูงกลับกำลังเดินอยู่ในเขตของโรงพยาบาลที่อยู่ห่างออกมาจากมหาวิทยาลัยหลายกิโลเมตรโดยไม่ได้หวั่นเกรงถึงอาการโมโหเป็นฟืนเป็นไฟของพี่ชายคนดีเลย
พรุ่งนี้เขาจะเอาคอไปให้บั่นแต่เช้า เพียงแค่วันนี้และตอนนี้เท่านั้นที่เขาจะต้องมาเยี่ยมคนป่วยที่นี่ให้ได้ หากจะถามว่าแล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าคนร่างบางคนนั้นฟื้นจากการหลับใหลแล้ว คำตอบก็คงเป็นไม่รู้ เพราะยองอุนก็แค่รู้สึกว่าวันนี้แหละเป็นวันที่เขาควรจะมา…ก็เท่านั้น
ดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ในมือหนากระชับไว้มั่นเมื่อเดินตรงเข้าไปใกล้กับห้องพักฟื้นพิเศษที่สอบถามมาจากนางพยาบาลคนเดิมที่เคยเจอกันเมื่อวันที่เขาพาจองซูมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ รองเท้าผ้าใบเปื้อนฝุ่นหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูห้องเพื่อรวบรวมความกล้าที่โบยบินหายไปโดยไม่รู้ตัวกลับมา
มือใหญ่เคาะลงที่บานประตูเบาๆก่อนที่จะผลักเข้าไปภายใน บนเตียงผู้ป่วยที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไปจากประตูบานเลื่อนกระจกซึ่งเปิดออกสู่ระเบียงห้องปรากฏร่างบอบบางคุ้นตาเอนหลังพิงหมอนใบใหญ่อยู่ ในมือเรียวถือหนังสือเล่มเล็กไว้ในขณะที่ใบหน้าเรียวขาวทอประกายล้อแสงแดดยามเย็นที่ส่องลอดผ่านรอยแยกของม่านยาวหันมองมาที่ยองอุน
คนร่างสูงส่งรอยยิ้มอ่อนไปหาคนป่วย เสียงทุ้มเอ่ยกับคนที่มองมาทางเขา
“จองซู ฉันมาเยี่ยม…”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของยองอุนค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยช้าๆเมื่อเจ้าของเสียงหวานละมุนที่เขาจำได้ดีเอ่ยถามเบาๆ
“เรา…รู้จักกันด้วยเหรอ”
คำถามที่ทำให้โลกทั้งใบราวกับจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ ดวงตาคมมองสบลงในนัยน์ตาสีน้ำตาลแก่ซึ่งยังคงฉายแววพิศวงอย่างปิดไม่มิด ไม่มีความรู้สึกอื่นใดให้สัมผัสได้เลยนอกจากความสงสัยเท่านั้น
ยองอุนค้อมศีรษะลงน้อยๆ ชายหนุ่มเอ่ยตอบเบาๆก่อนจะถอยหลังออกจากห้องพักฟื้นพิเศษดังกล่าวไป
“ขอโทษครับ ผมคงทักคนผิด”
“อ๊ะ เดี๋ยวสิ…”
เสียงเรียกรั้งจากคนป่วยบนเตียงดูจะไม่ทันการเสียแล้วเมื่อเจ้าของช่อดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ปิดประตูห้องพักให้เขาจนสนิทดังเดิม ร่างบางปล่อยความสงสัยให้ล่องลอยไปกับสายลมก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือในมือที่อ่านค้างไว้เมื่อครู่ต่ออีกครั้งโดยไม่คิดติดใจอะไรอีก
…ก็คงแค่ทักคนผิดล่ะมั้ง…
.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.
บนระเบียงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นพิเศษ ร่างสูงของยองอุนเดินห่างมาจากประตูห้องพักของจองซูช้าๆ หากใบหน้ากลับแย้มรอยยิ้มกว้าง
แน่ล่ะว่าเขาไม่ได้ทักคนผิด ใบหน้าเรียวขาวกับริมฝีปากบางแดงสดนั้นเขาจะลืมมันไปได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตามที่ทำให้จองซูจำเขาไม่ได้ เขาก็จะไม่ฝืนสิ่งที่มันกำลังเป็นอยู่นี้ไปอย่างแน่นอน
เขาช่วยจองซูไม่ใช่เพราะต้องการให้จองซูขอบคุณอย่างที่บอกกับร่างบางไว้ตอนก่อนจะส่งวิญญาณอีกคนให้เข้าร่างหรอก แต่ที่ช่วยก็เพราะอยากจะช่วย ช่วยก็เพราะลึกๆในใจมันเรียกร้องให้ทำ เรียกร้องให้ความกล้าหาญที่หายไปนานกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง
หากเพียงแค่ตอนนี้จองซูจะมีความสุขดีกับชีวิตที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคิมยองอุน ยองอุนก็จะขอมีความสุขกับชีวิตที่มีความทรงจำเกี่ยวกับปาร์คจองซูต่อไป อย่างน้อย…ก็จนกว่าสมองของเขามันจะสั่งให้ลืมก็เท่านั้น
.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.
The End