Archive | fiction RSS feed for this section

4SEASONS ประกาศให้ทราบค่ะ

4 Apr

ประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการโดยทั่วกันนะคะ

ฟิคชั่น KangTeuk ในธีม 4SEASONS โดย parksoohyun ได้ sold out เรียบร้อยแล้วนะคะ ทั้ง 20 เลมมีเจ้าของจับจองหมดเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ทุกท่านที่เห็นข้อความนี้ก็โปรดรับทราบไว้ว่าไม่ต้องส่งอีเมลมาออร์เดอร์แล้วนะคะ หมดยกสต๊อกแล้ว

ขอขอบคุณทุกๆคนที่ให้ความสนใจค่ะ

UPDATE ตัวเล่ม 4SEASONS: The Series พิมพ์เสร็จแล้วค่ะ

12 Feb

สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักทุกๆคน

วันนี้อั้มมีข่าวมาอัพเดทให้เรื่องความคืบหน้าของฟิคชั่น 4SEASONS: The Series กันอีกเช่นเคยนะคะ เป็นข่าวดีเพราะว่าตอนนี้ฟิคพิมพ์เสร็จเป็นเล่มและถูกส่งมาถึงมืออั้มเรียบร้อยแล้ว พร้อมจะทำการจัดส่งให้ค่ะ

สรุปความยาวทั้งหมด 370 หน้าถ้วนนะคะ พร้อมที่คั่นหนังสือแถมให้เล่มละ 2 อัน ตัวอักษรในฟิคอาจจะเล็กไปหน่อย แต่ก็เพื่อความประหยัดหน้ากระดาษ หวังว่าคงไม่ว่ากันนะคะ

ทั้งนี้ อั้มจะทยอยส่งให้กับคนที่โอนเงินเข้ามาแล้วก่อนไล่ไปตามลำดับการโอนนะคะ ซึ่งก็จะเริ่มส่งให้ได้ในวันจันทร์นี้นี่ล่ะค่ะ (สามารถเข้ามาเชครหัสพัสดุได้ใน https://ummy1204.wordpress.com/2012/01/22/update-%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/ ค่ะ)

สำหรับคนที่นัดรับกับอั้มก็ขอดูตารางเวลาอีกสักนิดนะคะ ถ้าวันอาทิตย์ไหนที่เหมาะๆก็จะโทรไปนัดตามเบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้ค่ะ

ส่วนคนที่ยังไม่ได้โอนเงินเข้ามายังมีเวลาถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้นะคะ โอนแล้วอย่าลืมแจ้งโอนเข้ามาในเมลตามแบบฟอร์มที่เคยส่งให้ไว้แล้วในอีเมลฉบับก่อนด้วยค่ะ และจะเป็นการดีมากถ้าสามารถแนบรูปถ่ายหรือภาพสแกนหลักฐานการโอนเงินมาให้อั้มได้ค่ะ

วันนี้คงมีเรื่องอัพเดทแต่เพียงเท่านี้นะคะ

ขอบคุณทุกๆคนมากเลยค่ะ

หมายเหตุตัวโตๆค่ะ

ตอนนี้ยังมีฟิคที่ไม่มีเจ้าของอยู่ในมืออั้มอีก 2 เล่มนะคะ ถ้าใครสนใจก็รบกวนกดเข้าไปที่นี่ click

และกรอกรายละเอียดตามแบบฟอร์มที่ให้ไว้แล้วในหน้าเพจนั้น ส่งอีเมลเข้ามาที่ tu5103684295@gmail.com ได้เลยนะคะ

UPDATE สถานะการโอนเงิน

22 Jan

สถานะการโอนเงินและรหัสพัสดุ

สถานะการโอนเงิน

รหัสพัสดุ

1. สุนิสา วังวงษ์

โอนแล้ว

RG 4796 8506 7 TH

2. วรกมล ไกรชุมพล

โอนแล้ว

RG 0346 0566 9 TH

3. ธฤตวัน ไชยวสุ

โอนแล้ว

RG 0346 2989 0 TH

4. จิราพร ทรัพย์มณี

โอนแล้ว

RG 0346 0948 4 TH

5. สรนา ไกรเพ็ชร์

โอนแล้ว

รับของแล้ว

6. นฤมล อ่อนจันทร์

โอนแล้ว

RG 0346 1102 9 TH

7. วนิสรา เทือกแถวสกุล

โอนแล้ว

รับของแล้ว

8. พงศกร แจ่มศรี

โอนแล้ว

RG 0346 3621 5 TH

9. จณัญญา บารมีชัย

โอนแล้ว

RG 0346 0945 3 TH

10. พี่ส้ม

โอนแล้ว

RG 0346 0946 7 TH

11. miu-mu

โอนแล้ว

RG 0346 0567 2 TH

12. ปุณยวีร์  วงศ์พลกานันท์

โอนแล้ว

RG 0346 0947 5 TH

13. พลอย

โอนแล้ว

RG 4796 8507 5 TH

14. นฤมล [KoY_LucKy]

โอนแล้ว

 RG 0346 1103 2 TH

15. ศศิกร (gorn_dbsk)

โอนแล้ว

RG 0346 0949 8 TH

16. Princegav

โอนแล้ว

RG 4796 8505 3 TH

17. MyStar

– – – – –

รับของแล้ว

18. ลลินดา   อภิวัฒโนดม
19. ศิริวรรณ  อินทรฤทธิ์ โอนแล้ว
20. P O O K ლ(◉◞౪◟◉ )ლ – – – – – รับของแล้ว

*** เนื่องจากไม่สามารถติดต่อคุณลลินดาได้เป็นเวลานานมาก จึงขออนุญาตสละสิทธิ์การจองเล่มฟิคเล่มที่ 18 ให้กับน้องอีกคนที่สนใจแทนนะคะ ***

สามารถตรวจสอบสถานะได้ที่ http://track.thailandpost.co.th/trackinternet/Default.aspx โดยกรอกรหัสพัสดุที่อั้มอัพเดทไว้ลงในช่องที่กำหนดให้นะคะหรือ โทร 1545 ค่ะ


UPDATE ปกฟิคชั่น 4SEASONS: The Series ราคา และความคืบหน้า

22 Jan

ล่วงเข้าช่วงกลางเดือนมาจนใกล้จะถึงครบกำหนดระยะเวลาการเปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ วันนี้อั้มจึงขอถือโอกาสอัพเดทปกฟิคชั่นให้ทราบกันตามที่ได้บอกกล่าวผู้จองทุกท่านผ่านทางอีเมลไปก่อนหน้านี้แล้วค่ะ

และนี่ก็คือปกฟิคที่ทั้งการออกแบบ จัดวาง ตกแต่ง แก้ไข รวมถึงถ่ายภาพโดยอั้มทั้งหมดเลยค่ะ

และจากการประเมินราคาจากจำนวนเล่มที่สั่งจองกันมา อั้มขอเคาะราคาครั้งสุดท้ายที่เล่มละ 280 บาทถ้วนนะคะ รวมค่าจัดส่งคนละ 50 บาทก็จะเป็นยอดเงินรวม 330 บาทค่ะ

โดยรายละเอียดการโอนเงินจะขออนุญาตแจ้งรายละเอียดให้ทราบอีกครั้งผ่านทางอีเมลสำหรับผู้ที่ส่งรายชื่อสั่งจองมาเท่านั้นนะคะ

อ้อ และไหนๆเราก็ได้มีโอกาสมาทักทายกันเป็นครั้งที่ 2 ถัดจากการประกาศรวมเล่ม และนับเป็นครั้งที่ 3 สำหรับคนที่ส่งเมลมาสั่งจองกับอั้มเป็นการส่วนตัว ก็ขออนุญาตแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับฟิคสักเล็กน้อยค่ะ

ตอนนี้หลังจากที่อั้มขอเวลาลาพักยาวหนึ่งอาทิตย์สำหรับการนอนป่วย อาทิตย์หน้าคิดว่าคงจะมีการแก้ไขตอนจบของฟิคชั่นเรื่อง The Second Time กันอีกเล็กน้อย และอาจจะทำให้จำนวนหน้ารันเพิ่มจาก 358 หน้าที่เคยแจ้งไว้เมื่อก่อนหน้านี้ค่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม คิดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อราคาที่ได้ประกาศไปแล้วแต่อย่างใดนะคะ เพราะฉะนั้นผู้อ่านทุกท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ *ยิ้ม*

และหากไม่มีอะไรผิดพลาดก็คิดว่าตัวเล่มที่จัดพิมพ์เรียบร้อยแล้วคงส่งมาถึงมือของอั้มในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งจะเริ่มทำการทยอยส่งไปรษณีย์ให้ได้ในช่วงนั้นค่ะ (เมื่อของมาถึงแล้วอั้มจะอัพเดทให้อีกทีนะคะ) โดยการส่งเล่มก็จะส่งให้เรียงตามลำดับการโอนเงินเข้ามาค่ะ โอนก่อนก็จะทยอยส่งให้ก่อนเป็นลำดับไป

ส่วนคนที่นัดรับ อั้มจะโทรไปหาเพื่อนัดวัน เวลา สถานที่กันอีกทีค่ะ

คิดว่าหมดเรื่องที่จะแจ้งให้ทราบแล้ว เจอกันอีกครั้งเมื่อมีความคืบหน้าที่สำคัญจะต้องแจ้งให้ทราบนะคะ

สำหรับผู้ที่ส่งอีเมลมาสั่งจองฟิคกับอั้มเอาไว้แล้วก็รบกวนเข้าไปเชคอีเมลกันสักนิดนะคะ ทุกท่านจะได้พบกับรายละเอียดการโอนเงินในอีเมล

ขอบคุณค่ะ

UPDATE รายชื่อคนสั่งจอง KangTeuk fiction: 4SEASONS the series

19 Dec

รายชื่อ

1. สุนิสา วังวงษ์ 1 เล่ม
2. วรกมล ไกรชุมพล 1 เล่ม
3. ธฤตวัน ไชยวสุ 1 เล่ม
4. จิราพร ทรัพย์มณี 1 เล่ม
5. สรนา ไกรเพ็ชร์ 1 เล่ม
6. นฤมล อ่อนจันทร์ 1 เล่ม
7. วนิสรา เทือกแถวสกุล 1เล่ม
8. พงศกร แจ่มศรี 1 เล่ม
9. จณัญญา บารมีชัย 1 เล่ม
10. พี่ส้ม 1 เล่ม
11. miu-mu 1 เล่ม
12. ปุณยวีร์ วงศ์พลกานันท์ 1 เล่ม
13. พลอย 1 เล่ม
14. นฤมล [KoY_LucKy] 1 เล่ม
15. ศศิกร (gorn_dbsk) 1 เล่ม
16. Princegav 1 เล่ม
17. MyStar 1 เล่ม
18. ลลินดา อภิวัฒโนดม 1 เล่ม
19. ศิริวรรณ อินทรฤทธิ์ 1 เล่ม
20. P O O K ლ(◉◞౪◟◉ )ლ ‏ 1 เล่ม

 

 

หมายเหตุ: อั้มได้ส่งอีเมลตอบกลับทุกคนทันทีที่อัพเดทรายชื่อนะคะ ถ้าใครหาไม่เจอลองเข้าไปดูในเมลขยะด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

*** เนื่องจากไม่สามารถติดต่อคุณลลินดาได้เป็นเวลานานมาก จึงขออนุญาตสละสิทธิ์การจองเล่มฟิคเล่มที่ 18 ให้กับน้องอีกคนที่สนใจแทนนะคะ ***

 

ประกาศรวมเล่ม KangTeuk fiction: 4SEASONS the series

19 Dec

ประกาศรวมเล่มฟิคชั่น KangTeuk ของ ParkSooHyun ค่ะ…

เนื่องจากว่าอั้มตั้งใจจะพิมพ์ฟิคส่วนนี้เอาไว้สำหรับเก็บเป็นที่ระลึกของตัวเองอยู่ก่อนแล้ว แต่หลังจากที่ลองพูดคุยดูก็พบว่ามีบางคนที่อยากจะเก็บเอาไว้อ่านเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้เพื่อประชาสัมพันธ์การรวมเล่มฟิคไว้ด้วยนะคะ

โดยจะจัดพิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตาขนาด A5 ความหนาอยู่ที่ 300 กว่าๆแต่ไม่เกิน 400 หน้าค่ะ

สำหรับฟิคที่จะถูกตีพิมพ์ทั้งหมดจะเป็นบรรดาฟิคทั้งหมดที่เคยแต่งมา มีอยู่ด้วยกัน 6 เรื่อง ได้แก่

1. Underneath the Rain (+special part)

2. Vanilla Vincent

3. ความคิด

4. Omamori

5. From the End

6. The Second Time

โดยฟิคชั่นทั้ง6เรื่องสามารถหาอ่านกันได้ที่นี่ค่ะ >> http://writer.dek-d.com/soohyun-park/writer/view.php?id=739149

และจะมีของแถมพิเศษให้ดังนี้ค่ะ

1. ฟิคชั่นเรื่องพิเศษที่จะไม่นำลงเว็บ Special Series: SUMMER เรื่อง Love, Destiny, and Miracle

2. ที่คั่นหนังสือเล่มละ 2 อัน

สำหรับราคารวมค่าจัดส่งแล้ว ตอนนี้คิดว่าไม่น่าเกิน 350 บาท แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงก็จะแจ้งให้ทราบกันต่อไป  (ผ่านทางอีเมลสำหรับผู้ที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของ)  ค่ะ

โดยอั้มจะขออนุญาตบังคับส่งทางไปรษณีย์เพียงอย่างเดียวนะคะ เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากและเวลาที่อาจจะไม่ตรงกันในการนัดรับของค่ะ

และที่สำคัญที่เกือบลืมบอกไปแล้ว การพิมพ์ฟิคครั้งนี้อยากจะขอพิมพ์เป็นแบบ Limited Edition นะคะ จะไม่พิมพ์เผื่อเยอะแยะมากมาย ดังนั้น จะขออนุญาตให้คนที่สนใจส่งอีเมลมาบอกกันโดยขอทราบรายละเอียดดังต่อไปนี้ด้วยค่ะ

ชื่อ-สกุล : (สำหรับชื่อที่ใช้จองไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อจริงก็ได้นะคะ แต่ขอเอาเป็นชื่อที่จะใช้สำหรับจ่าหน้าซองไปรษณีย์ที่จะนำฟิคชั่นเล่มนี้ไปถึงมือของคุณได้ก็พอค่ะ =] )

จำนวนเล่มที่จอง :

ที่อยู่ : (ขอเป็นที่อยู่สำหรับให้ส่งฟิคไปหานะคะ และอย่าลืมรหัสไปรษณีย์ด้วยนะคะ)

อีเมลติดต่อ :

เบอร์โทรศัพท์ :

โดยสามารถส่งรายละเอียดเข้ามาได้ที่อีเมล tu5103684295@gmail.com ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 นะคะ โดยจะอัพเดทรายชื่อผู้จับจองเอาไว้ให้ในลิงค์ด้านล่างนี้ค่ะ และสามารถเข้ามาติดตามรายละเอียดได้ในบล็อก wordpress ได้เรื่อยๆนะคะ

https://ummy1204.wordpress.com/2011/12/19/update-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-kangteuk-fiction-4seasons-the-series/

สำหรับคนที่กลัวว่าจะหาเนื้อหาที่อยากอ่านไม่เจอก็ให้ดูที่มุมบนขวามือจะมีแถบชื่อ Fiction อยู่ หรือดูที่แถบด้านล่างขวามือนะคะ ตรง Categories ให้เลือก Fiction ค่ะ เท่านี้ก็จะเจอโพสเกี่ยวกับการรวมเล่มทั้งหมดได้

และเรื่องการโอนเงินค่าฟิก จะขออนุญาตแจ้งให้ทราบหลังจากได้จำนวนเล่มที่แน่นอนแล้วต่อไปนะคะ

ใครที่มีอะไรสงสัยอยากถาม รบกวนช่วยทิ้งคำถามด้วยการเมนชั่นมาหากันในทวิตเตอร์ที่ @umm_Um ได้นะคะ ยินดีตอบทุกคำถามเลย

ขอบคุณค่ะ

[SF AU KangTeuk] Underneath the Rain

14 Oct

ฟิกเรื่องนี้ก็สวยดีนะ แต่งเองอีกเหมือนเดิม ~ ^^

Title :: Underneath the Rain
Pairing :: Kangin x Leeteuk
Author :: ParkSooHyun
Rating :: PG-13
Genre :: AU

Author’s Note :: เรื่องราวทั้งหมดที่แต่งขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะพาดพิงถึงบุคคลใด

————————————————————————

Underneath the Rain

คงเป็นเวลาเย็นมากแล้วเมื่อแสงสีส้มอมทองเริ่มทาทับระไล่สีมาตั้งแต่ปลายสุดของเส้นขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ดวงโตที่สาดส่องให้แสงสว่างในยามกลางวันค่อยเคลื่อนคล้อยลาลับลดลงสู่อีกฟากฝั่งของโลกกลมๆใบเดียวกันนี้

ใบไม้แห้งปลิดปลิวออกจากขั้วยามเมื่อต้องสายลมอ่อน ปลายสุดของเส้นทางการเคลื่อนตัวจบลงตรงปลายเท้าของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งก้าวเดินออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยด้วยใบหน้ามึนซึม สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใดนอกไปเสียจากการแอบงีบหลับไปกว่าชั่วโมงเมื่อครู่

ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคิมยองอุนคนนี้ไปเสียแล้ว…

ยามเมื่อมีงานกลุ่มที่ต้องเรียกรวมตัวกันอย่างเร่งด่วนในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน ไม่ว่าเพื่อนสมาชิกในกลุ่มจะรีบร้อนและหัวเสียมากแค่ไหน แต่สำหรับหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินทอดน่องออกจากประตูมหาวิทยาลัยคนนี้ ดูเหมือนว่าเรื่องการทำงานจะเป็นเรื่องเล็กน้อยและน่าเบื่อมากเสียจนเขาพร้อมจะงีบหลับไปได้ทุกเมื่อหากไม่มีใครมอบหมายสิ่งใดมาให้เป็นหน้าที่ในช่วงเวลาห้านาทีแรกของการรวมตัว แล้วก็ถึงจะมอบหมายงานไปแล้วก็ตาม ยองอุนก็ยังสามารถล้มตัวลงนอนได้อย่างหน้าตาเฉยดังเช่นเมื่อครู่

นิ้วยาวอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นแยงเข้าไปในหูของตนเมื่อเสียงตวาดดังก้องของคิมฮีชอล พี่ชายหน้าหวานร่วมชมรมเมื่อสักครู่ดูเหมือนจะยังไม่เลือนหายไป

‘คิมยองอุน!!! ที่ฉันสู้อุตส่าห์ไปตามแกให้มาที่นี่ไม่ใช่เพื่อให้แกมานอนหลับสบายนะเว้ย หัดแหกตาขึ้นมาดูบ้างว่าคนอื่นเขาทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลังแค่ไหน มีแกเนี่ยแหละที่ไร้สามัญสำนึกมานอนอืดอยู่คนเดียว ลุกขึ้นมาเลยนะ แล้วก็ย้ายก้นตัวเองออกไปจากที่นี่ได้แล้วด้วย คนอื่นเขากลับกันหมดแล้วเว้ย’

เสียงโวยวายที่แทบทำให้ตึกถล่มลงมาตรงหน้าแม้จะได้มือแข็งแรงของพี่ฮันกยอง นักเรียนทุนแลกเปลี่ยนจากจีนแผ่นดินใหญ่มาช่วยฉุดรั้งร่างที่ทำท่าว่าต้องการจะประทุษร้ายร่างกายสักส่วนของเขาไว้แล้วก็ตาม

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้ว่าพี่ฮีชอลจะแสดงท่าทางราวกับอยากจะกระโจนมาขย้ำคอเขาให้ได้เสียเดี๋ยวนั้นก็ตาม แต่งานทั้งหลายทั้งแหล่ที่พี่ชายร่างเพรียวมอบหมายมาให้เขาที่อู้อย่างจงใจก็ถูกทำให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยด้วยมือของเจ้าตัวเอง

ซ้ำร้ายก่อนที่เขาจะเดินจากมา เสียงตะโกนด้วยความหวังดีแกมประชดไล่หลังของพี่ฮีชอลยังทำให้เขาอดจะยิ้มออกมาไม่ได้

‘พรุ่งนี้มีสอบนะอ้วน คืนนี้อย่ามัวแต่นอนอืดล่ะแก อ่านหนังสือซะด้วยล่ะ’

ยองอุนยิ้มกับตัวเอง

นี่แหละพี่ฮีชอล…ต่อให้เป็นห่วงใครเขาแค่ไหน ทางที่จะแสดงความรู้สึกออกมาก็คงมีแค่การพูดจากระโชกโฮกฮากตามนิสัยของเจ้าตัวเท่านั้น แต่สำหรับยองอุนแล้ว เขาที่รู้จักกับพี่ชายร่างบางมาเกือบเท่าระยะเวลาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้นั้นสามารถเข้าใจและรับนิสัยแปลกๆนั้นได้ ในทางกลับกัน ชายหนุ่มยังถือว่าเป็นเรื่องโชคดีเสียอีกที่ได้พบเจอและได้รู้จักกับพี่ชายนิสัยดีที่ปากไม่ตรงกับใจคนนี้

เส้นทางปูอิฐทอดยาวไปเบื้องหน้า ด้านข้างซ้ายขวาเรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ปลูกประดับให้ร่มเงาทิ้งช่วงห่างเท่าๆกันตลอดแนวทางเดิน ที่สุดปลายทางเป็นสถานที่ที่หอพักนักศึกษาของยองอุนตั้งอยู่

และแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นจนเกือบเข้าพลบค่ำแล้วก็ตาม หากกลับยังมีนักศึกษาบางคนขี่จักรยานออกมาจากหอด้วยต้องการแวะมาซื้อของกินกลับเข้าไปตุนเอาไว้เป็นเสบียงในยามดึก เช่นเดียวกับรุ่นน้องร่างท้วมที่ส่งยิ้มแป้นมาให้แต่ไกล

“อ้าวพี่ เพิ่งกลับจากมหาลัยเหรอ มีงานหรือไง”

ยองอุนพยักหน้ารับส่งๆ “เออ แต่ไม่ใช่งานฉันหรอก”

แว่วได้ยินเสียงหัวเราะก่อนที่จักรยานคันนั้นจะถูกจอดเทียบลงข้างร่างของยองอุนส่งผลให้ชายหนุ่มจำต้องหยุดยืนคุยไปตามระเบียบ

“ไม่ใช่ว่าพี่มัวแต่นอนหลับอยู่หรอกเหรอ”

คนฟังพลอยหัวเราะตาม “ทำเป็นรู้ ทำไม กิตติศัพท์ฉันดังไปทั่วมหาลัยแล้วงั้นสิ”

รุ่นน้องตัวโตไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากเสียงหัวเราะที่ทำให้ใครก็ตามที่ได้ฟังอารมณ์ดีตามไปด้วย ยองอุนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นต่อจากนั้น

“แล้วนายล่ะชินดง จะปั่นจักรยานไปไหนเย็นๆแบบนี้”

ชินดงหัวเราะดังขึ้นอีก มือใหญ่ชี้ไปทางมินิมาร์ท “ไปซื้อเสบียงน่ะสิพี่ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันกลายเป็นคนใช้ซองมินไปแล้ว วันนี้เห็นบอกว่าจะมีน้องมาค้างห้องด้วย ไม่รู้น้องหรือใครกันแน่ ดี๊ด๊าน่าดู”

ร่างสูงขยับยิ้มตามเมื่อนึกไปถึงซองมินเพื่อนตัวเล็กของชินดง เด็กที่มักจะพูดจาสุภาพกับเขาที่เป็นพี่อยู่เสมอ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถออกปากใช้ใครเป็น

“ฉันว่าฉันรีบไปดีกว่าพี่ ขืนช้าเดี๋ยวฝนตกจะโดนซองมินด่าเปล่าๆ พี่ก็รีบกลับล่ะ” น้องชายตัวใหญ่บอกไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะถีบจักรยานจากไป

ยองอุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จากสีส้มที่ว่าได้เห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าบัดนี้กลับเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทึมๆเสียแล้ว ขายาวรีบก้าวตรงไปเบื้องหน้า ต่อให้แข็งแรงแค่ไหนแต่เขาก็ยังไม่อยากเสี่ยงกับตัวการใหญ่ที่อาจทำให้ไม่สบายได้ง่ายๆในวันพรุ่งนี้ที่มีสอบ แล้วยิ่งกับคืนนี้ต้องท่องหนังสือดึกเสียด้วย

ตัวอาคารทรงสูงปรากฏให้ได้เห็นแล้วเมื่อชายหนุ่มจ้ำฝีเท้าเดินมาตามทางเรื่อยๆ ประตูทางเข้าตึกที่อยู่ไม่ไกลทำให้เจ้าของร่างสูงยอมผ่อนฝีเท้าลง แล้วสุดท้ายจึงได้ตระหนักว่าตัวเองคิดผิดมากเพียงใดเมื่อพบว่าฝนเม็ดใหญ่พร้อมใจกันกระหน่ำเทลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้เนื้อตัวเปียกปอนได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีดี

ยองอุนมุ่งหน้าตรงไปยังทางเข้าหอพักนักศึกษา ตั้งใจว่าจะเอาหนังสือเรียนที่คงบวมน้ำคามือไปแล้วไปตากลมในห้องเสียหน่อยเมื่อหางตามองเห็นถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ทำให้ขายาวต้องหยุดชะงักลง

ที่สนามหญ้าด้านหน้าตึกที่เป็นที่ตั้งของชิงช้าไม้ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าเหตุใดจึงนำเอาชิงช้ามาเป็นของประดับในสนามของหอพักชาย ยองอุนไม่ได้ตาฝาดไปอย่างแน่นอนเมื่อเขาเห็นคาตาว่าตัวชิงช้าแกว่งไกวน้อยๆทั้งที่เมื่อแหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มปกคลุมเหนือขึ้นไปนั้น

ไม่มีใบไม้สักใบริอาจขยับ…

อดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่อยู่ท่ามกลางสายฝนหนาวเย็นเมื่อตระหนักชัดว่าสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นสิ่งที่แผกออกไปจากปกติ เขาเองก็เดินผ่านสนามแห่งนี้ออกบ่อยครั้ง หากไม่มีครั้งใดเลยที่การเดินผ่านจะชวนให้เขาอยากวิ่งหนีได้เท่าครั้งนี้

สิ่งที่คิมยองอุนกลัวที่สุดก็คือผี

ถูกแล้ว…ยองอุนกลัวผี ก็ผู้ชายตัวใหญ่ที่กล้ากับเรื่องชกต่อยทุกเรื่องบนโลกใบนี้ไม่อาจใช้กำลังต่อรองกับสิ่งที่สัมผัสไม่ได้เช่นนั้นได้ ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน ผีก็คือผี

เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ชายหนุ่มทำต่อจากวินาทีที่แหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็คือรีบวิ่งตรงเข้าไปในหอทันทีโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองอีกเลย

หลายชั่วโมงต่อจากนั้น เสียงเปาะแปะที่ดังอยู่ก็ยังไม่จางหายไปคงด้วยเม็ดฝนสาดกระทบกระจกหน้าต่างไม่สามารถรบกวนสมาธิของยองอุนได้เมื่อร่างสูงยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆในห้องพักสำหรับสองคนที่เขาเช่าไว้คนเดียว

ยองอุนไม่ชอบให้ใครมารบกวนความเป็นส่วนตัวเป็นสาเหตุให้เขาไม่ต้องการแชร์ห้องกับใคร

ดวงตาคมเหลือบขึ้นจากหน้ากระดาษเป็นครั้งแรกเพื่อมองหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะ เข็มยาวชี้เลขหนึ่งและเข็มสั้นที่ชี้เลขสิบเอ็ดทำให้เขารู้ว่าเวลาที่เขาจดจ่ออยู่กับตำราเรียนนั้นมากพอสมควรแล้ว มือหนายกขึ้นขยี้ตาเบาๆเพราะรู้สึกถึงความแสบล้า ชายหนุ่มตัดสินใจเดินไปชงกาแฟมาดื่มในท้ายที่สุด

แก้วกาแฟควันกรุ่นถูกกุมไว้โดยฝ่ามือใหญ่เมื่อเจ้าตัวเดินตรงไปยังหน้าต่างของห้องพักซึ่งถูกปิดบังสายตาจากคนภายนอกโดยผ้าม่านสีอ่อน เสียงฝนที่ยังไม่ซาเม็ดทำให้ร่างสูงแหวกผ้าม่านออกดู

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นไปดังที่จินตนาการไว้ สายฝนกระหน่ำโดยมีพื้นหลังเป็นท้องฟ้าสีส้มแดงๆที่เริ่มจางสีลงเพราะได้ปล่อยหยดน้ำลงสู่พื้นเบื้องล่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หากในท่ามกลางความมืดมิดที่สามารถจินตนาการได้กลับปรากฏสิ่งหนึ่งเดียวที่สะดุดสายตาคมให้ต้องเพ่งมอง

หน้าต่างห้องที่เปิดสู่วิวด้านพื้นสนามหญ้าหน้าหอพัก บนชิงช้าไม้เก่าๆปรากฏร่างบอบบางนั่งนิ่งงันไม่ขยับท่ามกลางเม็ดฝนตกกระหน่ำ ดวงตาคมกล้าพยายามเพ่งมองใบหน้าที่มองเห็นได้ค่อนข้างยากจากความสูงระดับที่เขายืนอยู่นี้ เสียงทุ้มพูดกับตัวเองแผ่วเบา

“ใครกัน…”

สิ้นสุดคำถามต่อตัวเอง ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดแหงนเงยขึ้นมองราวกับจะล่วงรู้ถึงสายตาของนักศึกษาหนุ่มที่จับจ้อง ดวงตากลมโตคงเป็นสิ่งแรกที่สะกดสายตา ถัดมาก็คงเป็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม แต่ถึงกระนั้นก็บอกชัด

…ไม่ใช่คนในหอนี้…

ยองอุนทิ้งผ้าม่านลงปิดบังหน้าต่างไว้เช่นเดิม แก้วกาแฟที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งถูกวางลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ ร่มพลาสติกตรงมุมห้องที่ไม่คิดใช้อยู่ในมือร่างหนาเมื่อยองอุนก้าวลงมายืนที่ชั้นล่าง ชายหนุ่มร่างสูงกางร่มออกเมื่อพาตัวเองมายืนอยู่นอกชายคาตึก ขายาวรุดก้าวตรงไปยังร่างที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ชิงช้าตัวเดิม

ร่มคันไม่ใหญ่นักเลื่อนไปกางกั้นไว้เหนือศีรษะของร่างที่เงยหน้าขึ้นมอง เสียงห้าวถามออกไป

“ทำไมถึงมานั่งตากฝนอยู่ตรงนี้ ไม่กลัวเป็นหวัดไปหรือไง”

แปลกนัก ก็กับคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นเป็นการส่วนตัว ถึงขั้นมั่นใจได้ด้วยซ้ำว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทำไมจึงต้องพูดถ้อยคำที่เหมือนกับห่วงใย ทำไมต้องวิ่งตากฝนออกมาหา

อาจเพราะดวงตากลมโตคู่สวยที่กำลังจับจ้องเขาอยู่ตอนนี้…หรือเพราะเรียวปากสีสดที่กำลังแย้มรอยยิ้มให้เขาอยู่ตอนนี้

ไม่ล่ะ…ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเสียหน่อย คิมยองอุนคนนี้ก็แค่มีมนุษยธรรมเท่านั้น เขาคงไม่สามารถดูดายเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกผู้กำลังตากฝนอยู่ได้หรอก

“นายมองเห็นฉัน?” เสียงใสเอ่ยถามย้อนกลับ

คำถามแปลกๆยังไม่เท่าน้ำเสียงไพเราะที่ดูจะก้องกังวานผิดปกติ ซ้ำยังผิวหน้าขาวเนียนละเอียดที่ไม่มีเค้าว่าเคยตากฝนมานานเลยแม้แต่น้อย ต่อมความสงสัยของยองอุนถูกปลุกกระตุ้นให้ทำงานอีกครั้ง หากชายหนุ่มก็ยังปัดมันออกไปจากใจเมื่อถึงอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าคนที่เขาแบ่งปันร่มให้อีกกว่าครึ่งดูจะโต้ตอบกับเขาได้อย่างเป็นปกติ

ผีที่ไหนจะคุยกับคนได้…จริงไหม?

ยองอุนตอบคำถามของอีกคนกลับไป “ทำไมฉันจะมองไม่เห็นล่ะ นี่นั่งตากฝนมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”

“นานแค่ไหน?” เสียงใสทวนคำถามของเขา ใบหน้าสวยหวานกระเดียดไปทางผู้หญิงหากไม่สังเกตว่าเครื่องแต่งกายบอกชัดว่าเป็นชายฉายแววสับสนน้อยๆ

นี่กับแค่คำถามว่านั่งอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนมันยากเย็นถึงขนาดต้องคิดเลยเหรอเนี่ย…

สุดท้ายแล้ว รอยยิ้มสวยที่จุดขึ้นที่มุมปากพร้อมกับใบหน้าที่หันมาให้คำตอบก็แทบจะทำให้ยองอุนปล่อยร่มเพื่อเอามือกุมขมับเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ไม่รู้สิ”

เห็นหน้าซื่อๆตาใสๆแบบนั้นแล้วชายหนุ่มก็ไม่คิดต่อคำ เลี่ยงไปถามคำถามอื่นแทนเสีย “โอเค ไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้ว…นายมารอใครรึเปล่า นายไม่ใช่คนในหอนี้นี่”

ผิดวิสัยที่ต้องมายืนซักถามประวัติกันท่ามกลางสายฝนกระหน่ำแบบนี้ แต่ที่ถามก็แค่เพราะรู้สึกถึงเสียงร้องเตือนบางอย่างในใจ เสียงร้องเตือนที่ไม่พ้นตัวเขาคงต้องถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนตัวเล็กบางตรงหน้า แล้วเสียงเตือนที่ว่านั้นก็ไม่ผิดเสียด้วยเมื่อคนที่นั่งตากฝนอยู่เป็นนานตอบกลับมาหน้าตาเฉย

“รอ…รอนายไง”

เหอะ ถึงจะคาดไว้แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ร่างสูงชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ตาคมเบิกกว้าง

“รอฉัน? แน่ใจนะ นายจำคนผิดหรือเปล่า ฉันแค่บังเอิญหน้าตาไปเหมือนเพื่อนนายรึเปล่า”

คนที่นั่งปักหลักอยู่ที่ชิงช้าไม้มานานลุกขึ้นยืน เส้นผมพลิ้วระต้นคอเมื่อร่างนั้นขยับกาย เกินกว่าจะเบี่ยงตัวหลบได้ทันเมื่อมือเรียวขาวทั้งสองข้างเอื้อมมาแตะสัมผัสที่ข้างแก้มของเขา ความเย็นวาบที่ต้นคอซึ่งหาสาเหตุไม่เจอทำให้ยองอุนตัวแข็งทื่อ ทำได้เพียงมองใบหน้าขาวที่อยู่ตรงหน้าและดวงตากลมโตที่ไล่มองเครื่องหน้าของเขาพร้อมกับที่คนตัวเล็กบังคับให้เขาหันหน้าไปมาซ้ายขวา

แรงเยอะ…แต่ไม่อาจต่อต้าน

ดวงตากลมๆนั้นพินิจมองละเอียดลออ ในแววตาไม่ได้เป็นอื่นนอกไปเสียจากความสงสัยเท่านั้น ท้ายสุดแล้ว เจ้าของมือเรียวเย็นเฉียบก็ปล่อยใบหน้าเขาออกพร้อมกับที่เจ้าตัวส่ายหัวดิกจนเส้นผมสีน้ำตาลนั้นพลิ้วสะบัดไปมา

“ไม่เหมือนหรอก หน้านายไม่เหมือนเพื่อนคนไหนของฉันสักคน”

คนร่างสูงกว่ายังยืนนิ่ง ตราบจนเมื่อเริ่มจะรู้สึกตัวว่าใบหน้าของทั้งเขาและคนตัวเล็กกว่าคนนี้อยู่ใกล้กันมากเพียงใด ขายาวจึงถอยออกมาอีกก้าวหนึ่ง ยองอุนลอบถอนหายใจ

ตกลงว่าเมื่อกี้ก็แค่พลิกหน้าเขาดูว่าเหมือนเพื่อนตัวเองรึเปล่าเท่านั้น ชายหนุ่มนึกอยากจะถามคนตรงหน้าเสียเหลือเกินว่าเคยใช้วิธีนี้ไปแล้วกี่ครั้งกันแต่ก็ไม่กล้า สิ่งที่ยองอุนทำได้จึงเพียงแค่กระแอมกระไอเรียกเสียงของตัวเองกลับมาเพื่อถามไถ่อีกฝ่ายต่อไป

“ไม่เหมือนแล้วบอกว่ารอฉันทำไม เรารู้จักกันด้วยเหรอ”

ร่างบางกระพริบตา เสียงที่ตอบกลับเรียบเฉยราวกับมันเป็นปัญหาง่ายๆที่ใครก็ตอบได้ “เปล่า แต่นายมองเห็นฉัน”

“ห๊ะ?” อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ แบบนี้ก็มีด้วย แค่มองเห็นก็แปลว่ามารอเขาแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ

“ทำไมล่ะ เราไม่ได้รู้จักกัน แต่นายมองเห็นฉันนี่”

มือข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นเกาหัวแกรก เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ “ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหนเลย”

ใบหน้าขาวใสของคนตัวเล็กที่ได้เห็นแฝงแววผิดหวังและเศร้าสร้อยอยู่ในที ถึงกระนั้น เจ้าของใบหน้าเรียวก็กลับพยักรับคำของร่างสูง ขาเรียวเล็กภายใต้กางเกงขายาวสีขาวถอยกลับไปนั่งบนชิงช้าไม้ตามเดิม เสียงหวานใสกังวานก้องกล่าวไม่ดังนัก

“อืม นั่นสินะ เราไม่รู้จักกันก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันตรงไหนเลย ถ้าอย่างนั้นนายก็กลับขึ้นไปเถอะ ให้ฉันนั่งรอคนอื่นต่อไปก็ได้”

ยองอุนรับรู้ได้จากน้ำเสียงว่าคนพูดไม่ได้มีเจตนาจะประชดประชัน คำที่พูดออกมาคงเป็นสิ่งที่เจ้าตัวรู้สึกจริงๆ และสำหรับเขาที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับคนตัวเล็กคนนี้ก็ควรจะทำตามนั้น เพียงแต่ขายาวกลับไม่ยอมขยับไปไหน ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมกับร่มคันเดิม

เขากำลังรู้สึกผิด…

ก็ถ้าเขาไม่คิดจะช่วยเหลือคนคนนี้จริงๆแล้วทำไมจึงได้วิ่งลงมาพร้อมกับร่มในมือคันนี้ ก็ถ้าเขาคิดอย่างที่คนร่างบางตรงหน้าพูดแล้วทำไมจึงไม่ทิ้งเจ้าของร่างนี้ให้นั่งอยู่คนเดียวเสียตั้งแต่ต้น

“เฮ้อ…” เสียงถอนหายใจยาวใหญ่ดังขึ้นก่อนที่ยองอุนจะเอื้อมมือไปดึงแขนเล็กภายใต้เสื้อแขนยาวสีขาวดุจเดียวกับกางเกงให้ลุกยืน

เจ้าของแขนเรียวมองใบหน้าคมอย่างไม่ค่อยเข้าใจ เสียงหวานเอ่ยถามสั้นๆ “อะไร?”

“ก็…มารอฉันไม่ใช่เหรอไง ฉันก็ลงมาแล้วนี่ เพราะงั้นก็ขึ้นไปที่ห้องฉันได้แล้ว ตากฝนอยู่แบบนี้มันดีต่อสุขภาพที่ไหนกัน”

ดวงตากลมคู่สวยเลื่อนไปจับยังมือใหญ่ที่ยังคงจับต้นแขนของตนอยู่ รอยยิ้มสวยเผยขึ้นพร้อมกับลักยิ้มซึ่งเป็นสิ่งที่สองบนใบหน้านี้ที่สะกดสายตาของยองอุนให้มองตาม เสียงจากคนตรงหน้าที่ได้ยินอดจะทำให้นักศึกษาหนุ่มแย้มรอยยิ้มกว้างออกมาไม่ได้

“ขอบคุณนะ”

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

จากบานหน้าต่างกระจกใสเหนือขึ้นไปสองชั้น ใบหน้ากลมๆของชินดงปรากฏให้เห็นผ่านรอยแยกของม่านบาง ดวงตาทั้งสองข้างที่เพ่งมองไปยังพื้นสนามหญ้าหน้าหอฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด

“ซองมินนี่…” เสียงทุ้มตัดสินใจเรียกชื่อรูมเมทของตนในท้ายที่สุด

“หืม?”

มือใหญ่เอื้อมไปดึงแขนเสื้อนอนย้วยๆของเพื่อนตัวเล็กให้มาเกาะกระจกหน้าต่างด้วยกันเมื่อสิ้นสุดเสียงขานรับแล้วเจ้าของชื่อก็ยังไม่ยอมเดินมาหา ซองมินมองอีกคนงงๆ

“อะไร อยู่ดีๆก็ลากมา”

“ดูนี่สิ”

แหวกรอยแยกของม่านออกให้กว้างขึ้นเพื่อให้เพื่อนมองเห็นได้ถนัด ที่สนามเล็กๆข้างชิงช้าไม้ตัวนั้น ร่างที่ยืนถือร่มพลาสติกอยู่คือ…

“นั่นมันพี่ยองอุนนี่” เบนหน้ากลับไปมองชินดง

รูมเมทร่างใหญ่พยักหน้ารับ “ฉันเห็นพี่เขายืนอยู่ตรงนั้นได้พักนึงแล้วเลยเรียกนายมา”

ซองมินเลื่อนสายตาลงไปมองอีกครั้ง ตอนนี้พี่ยองอุนยังคงยืนถือร่มอยู่ข้างชิงช้าตัวเดิม ท่วงท่าอาการราวกับว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ทั้งที่รอบข้างนั้น

…ไม่มีใครเลยแม้สักคน…

เสียงของชินดงเอ่ยถามขึ้นหลังจากนั้น “นายว่ายังไงล่ะ พี่เขาเหมือน…กำลังคุยอยู่กับใครใช่ไหม”

คนฟังเงียบไปพักหนึ่งจึงถอนหายใจออกมา “เฮ้อ…ไม่รู้สิ ไม่อยากจะคิด ช่างเหอะชินดง ฉันว่ารีบๆไปเข้านอนจะดีกว่า พรุ่งนี้มีเรียนเช้านะ”

ซองมินเดินจากไปได้พักหนึ่งแล้วหากทว่าชินดงกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาทั้งคู่เพ่งมองตามร่างของพี่ชายจวบจนกระทั่งร่างนั้นเดินกลับเข้าหอพักไป คำถามที่ยังคงค้างคาใจกับภาพที่ปรากฏให้เห็นสดๆร้อนๆดังก้องอยู่ในหัวไม่จางหาย

…พี่ยองอุนคุยกับใครอยู่?…

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

ห้องพักขนาดสองคนอยู่แต่กลับถูกจับจองพื้นที่ทั้งหมดไว้โดยคนเพียงคนเดียวในตอนนี้ได้ถูกเปิดออกเพื่อต้อนรับผู้มาใหม่แล้ว ยองอุนเอื้อมปิดประตูเมื่อร่างบางเดินเข้ามาในห้องได้เต็มตัว ชายหนุ่มวางร่มคันที่เปียกฝนแทบจะพอๆกับตัวเขาเองไว้หน้าห้องพร้อมกับวิ่งหายเข้าไปในห้องนอนพลางกล่าวกับผู้มาเยือนไปพร้อมกัน

“นายหาที่นั่งรออยู่แถวนั้นก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะหาผ้าขนหนูให้”

เพียงไม่นาน เจ้าของห้องก็เดินกลับออกมาพร้อมกับผ้าผืนใหญ่ในมือ ยองอุนเดินนำคนร่างบางไปนั่งบนโซฟาเล็กๆในส่วนนั่งเล่นที่ติดกับระเบียงห้องเมื่อพบว่าคนที่บอกว่ามารอเขาแค่เพราะเขาเห็นเจ้าตัวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

มือที่ยื่นส่งผ้าขนหนูนุ่มผ่านไปยังอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันชะงักน้อยๆเมื่อพบว่าเม็ดฝนที่ควรจะเกาะพราวอยู่ตามใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ต่างไปจากเขากลับไม่ปรากฏให้เห็น ใบหน้าขาวกระจ่างแม้ในห้องพักที่มีเพียงแสงนีออนจวนเจียนดับ

สงสัย หากก็ไม่เอ่ยอะไรนอกไปเสียจากการถามไถ่ดังเจ้าบ้านที่เต็มใจให้การต้อนรับ

“หนาวรึเปล่า เดี๋ยวฉันไปชงชาร้อนๆให้เอาไหม”

เจ้าของมือเรียวที่รับผ้าไปคลุมทับร่างเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ “อย่าลำบากเลย”

ยองอุนยิ้มกว้าง “ไม่ลำบากตรงไหนนี่ ชงชาเรื่องกล้วยๆ รอแป๊บเดียว”

ให้คำมั่นพลางเดินตรงเข้าครัวเล็กๆไป มือหนาหยิบจับข้าวของคล่องแคล่ว ไม่ช้าไม่นานชาร้อนควันกรุ่นก็ถูกชงสำเร็จเรียบร้อย นักศึกษาหนุ่มร่างสูงยังคงยืนนิ่งอยู่ในครัวนั้นขณะปล่อยความคิดล่องลอยไปกับความสงสัยเกี่ยวกับคนที่นั่งรอเขาอยู่ข้างนอก

ก็ไม่แปลกหรอกหรือ…ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำเท ร่างที่ควรจะเปียกปอนด้วยหยดน้ำดังเช่นตัวเขาในเวลานี้กลับแห้งสนิทดุจว่าอยู่ภายใต้ชายคาที่มองไม่เห็น เสียงใสหวานที่ยอมรับว่าไพเราะกว่าเสียงของเพื่อนสาวบางคนที่มหาวิทยาลัยเสียอีกกลับกังวานก้อง ยิ่งในห้องพักยิ่งชัดเจนว่าแผกไปจากเสียงของคนทั่วๆไป แม้กระทั่งใบหน้าที่ควรจะต้องซีดเซียวด้วยความหนาวเย็นจากอุณหภูมิท่ามกลางฝนพรำก็กลับฝาดสีเลือดดังไม่ได้สัมผัสกับอากาศหนาวแม้เพียงนิด แล้วยังมือเรียวคู่นั้น ยามเมื่อสัมผัสลงบนผิวเนื้อของเขากลับเย็นเฉียบตัดกับอุณหภูมิร่างกายที่มนุษย์พึงมี

ร่างบางคนนั้นเป็นใครกันแน่นะ?

สะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวไปเมื่อคิดได้ว่าเวลาที่ขอมาชงชาชักจะนานเกินไปเสียแล้ว ยองอุนเดินออกมานั่งลงตรงข้ามกับคนที่เลื่อนสายตามองข้าวของเครื่องใช้ในห้องของเขาไปเรื่อยเปื่อย รอยยิ้มสวยวาดขึ้นบนเรียวปากบางเมื่อเจ้าตัวพบว่าคนที่ตนบอกว่ารอกลับมาพร้อมกับชาร้อนๆดังที่บอกไว้เมื่อครู่แล้ว

“ไหนบอกว่าไม่ลำบากไง หายไปนานเลย”

“ก็ไม่ลำบากไง แต่ฉันจะล้างจานล้างชามของฉันบ้างไม่ได้เหรอ” พูดตามน้ำออกไป

คนฟังพยักหน้ารับขณะเลื่อนมือเรียวลงกุมถ้วยชาร้อนนั้นไว้นิ่งเหมือนจะใช้เป็นเครื่องให้ความอบอุ่นเสียมากกว่า คนหน้าหวานเลื่อนสายตามองไปที่อื่นราวกับไม่ได้คาดหวังในคำตอบใดอื่นจากเจ้าของห้อง

คนตัวสูงมองตามใบหน้าเรียวนั้น คิ้วโก่งบางเหนือดวงตาเรียวสวย จมูกโด่งสัน และริมฝีปากบางสีสดตัดกับผิวขาวละเอียด

สวย…มากกว่าหล่อ

นานแล้วกระมังที่เขาไม่ได้ยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือใคร คนอย่างคิมยองอุนไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ แต่เพราะตัวเองไม่ชอบให้ใครมาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว เพราะฉะนั้นพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่นเขาจึงไม่เคยเข้าไปบุกรุก ไอ้ประเภทที่จะวิ่งโร่ออกไปหาท่ามกลางสายฝนก็ยิ่งไม่ทำ

แต่วันนี้ เพียงแค่เห็นร่างบอบบางท่ามกลางเม็ดฝนตกกระหน่ำจากหน้าต่างสูง จะปล่อยให้ตากฝนต่อไปเสียก็ได้ แต่ร่างกายที่ทำงานไปก่อนสมองก็คว้าร่มวิ่งลงมาจนถึงอาคารชั้นล่างสุดเสียก่อนแล้ว แล้วยิ่งได้เห็นใบหน้าหวานเศร้าสร้อยลงเมื่อเอ่ยไล่เขากลับขึ้นห้องมาเสียเมื่อครู่ก็ยิ่งไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้

นี่ไม่ใช่การบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้านี้หรอกหรือ…

ยองอุนสะดุ้งน้อยๆเมื่อจู่ๆคนที่อยู่ในความคิดก็หันใบหน้ากลับมามองสบตากับเขา คิ้วโก่งเลิกขึ้นประกอบคำถาม

“มีอะไรรึเปล่า”

“อ่อ อา…” ติดอ่างขึ้นมาเสียดื้อๆ ไอ้ครั้นจะให้ตอบว่า…ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากมอง…คงได้โดนอีกฝ่ายมองเป็นตัวประหลาดแน่นอน

“หืม?” เอียงหน้ามองรอคำตอบ

“คือ…ฉันจะถามว่านายมารอฉันทำไมน่ะ” เอ่ยออกมารวดเดียวในทันทีที่คิดออก เพราะที่เขาถามคนตรงหน้าไปเมื่อครู่ตอนที่อยู่ข้างล่างนั้นก็ได้รู้แต่เพียงแค่เพราะเขาเห็นอีกฝ่ายจึงได้รอ เหตุและผลที่ไม่ค่อยจะสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ยองอุนสงสัยอยู่ไม่น้อยไปกว่าลักษณะอาการที่แปลกไปจากคนทั่วๆไปของร่างบางนี้เลย

“อา…” เสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ ใบหน้านั้นดูเคลือบแฝงไว้ด้วยความกังวล “คือฉันมีเรื่องอยากจะรบกวนนาย คงต้องรบกวนมากๆด้วย”

“รบกวน?” ทวนคำงงๆ “ทำไมนายถึงได้เลือกมารบกวนฉันล่ะ”

ที่ถามออกไปก็เพราะสงสัยจริงแท้ คนร่างสูงไม่ได้มีจุดประสงค์จะกวนประสาทอีกคนแต่อย่างใด หากคนที่เอ่ยรบกวนจะคิดอย่างไรก็คงไม่อาจรู้ได้เลยเมื่อใบหน้านั้นก้มลงต่ำซ่อนเร้นไว้จากสายตาคม

“ก็เพราะ…เพราะนายมองเห็นฉัน” ตอบเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ แต่ก็เพราะเหตุผลที่มีก็มีเพียงแค่นั้น แค่เหตุผลวนอยู่ในอ่างที่ทำให้ยองอุนงงหนักกว่าเดิม

“อะไรนะ นี่นายจะบอกว่านอกจากที่รอฉันเพราะฉันเห็นนายแล้วก็ยังเลือกรบกวนฉันเพราะฉันเห็นนายอีกอย่างนั้นเหรอ” ทวนความเข้าใจของตัวเองให้อีกคนฟังเสียงดัง คนฟังพยักหน้ารับ

ยองอุนขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง แล้วจะมีใครที่มองไม่เห็นนายบ้างล่ะ”

ใบหน้าเรียวที่ก้มต่ำเงยขึ้นหลังจบประโยคคำถามนั้น เสียงหวานเอ่ยเศร้าสร้อย “ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นฉันหรอก”

“อะไร หมายความว่ายังไง”

เจ้าของใบหน้าหวานสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกไป “ฉัน…ฉันไม่มีร่างกาย”

ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆกลับมาจากยองอุน ดวงตาคมไล่มองใบหน้าเรียว เสื้อผ้าสีขาวสะอ้านทั้งตัว ซ้ำยังมีผ้าขนหนูของเขาคลุมทับกายกับแก้วชาร้อนในมือเรียว

อะไรคือไม่มีร่างกาย…

“ฉัน…เป็นวิญญาณ”

ความเงียบงันลอยตัวคว้างท่ามกลางห้องพักที่ยังคงได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบหน้าต่างดังแว่วๆ หากเสียงนั้นกลับดูจะหมดความสำคัญลงไปเมื่อคำขยายความเบาหวิวกระจ่างชัดในโสตสัมผัสของยองอุน ชายหนุ่มอ้าปากค้าง สมองเริ่มประมวลผลสิ่งที่เขาได้เห็นตั้งแต่เมื่อเย็นตอนที่กลับมาถึงหอพักจนกระทั่งถึงวินาทีนี้

ชิงช้าไกวไหวแม้ไร้แรงลมหนุนพัด…ร่างท่ามกลางสายฝนกระหน่ำไร้หยดน้ำเกาะพราว…เสียงหวานกังวานก้องแผกไปจากคนปกติ…มือเรียวเย็นเฉียบดุจไม่มีอุณหภูมิร่างกาย

วิญญาณ…งั้นหรือ? วิญญาณหรือที่เรียกกันง่ายๆว่าผีที่ยองอุนกลัวอย่างนั้นหรือ?

“กลัวใช่รึเปล่า”

เสียงหวานล่องลอยปลุกยองอุนขึ้นจากห้วงความคิดของตัวเอง

กลัวงั้นหรือ…ก็ต้องกลัว แต่ครั้นเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนถามปรากฏรอยยิ้มเศร้าแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าความกล้าหาญที่วิ่งหนีหายไปเสียนานหายตัวกลับมาหาได้อย่างไร

ดวงตาคมดำขลับยังคงจับจ้องใบหน้าเรียวขาวกระจ่างในความมืดตรงหน้านิ่งงัน ไม่มีคำตอบนอกเหนือจากความเงียบที่ดังก้อง ร่างที่เพิ่งเฉลยต่อเขาว่าเป็นวิญญาณเอ่ยต่อไป

“ไม่เป็นไรหรอกที่นายจะพูดว่ากลัว ฉันไม่ได้มาขอให้นายช่วยเป็นคนแรกหรอก คนอื่นๆ…ปฏิเสธฉันมาแล้วทั้งหมด ถ้านายจะปฏิเสธฉันก็เข้าใจ แค่อยากจะขอบคุณที่ยังยอมนั่งคุยกับฉันถึงตอนนี้ก็เท่านั้น”

“นายพูดอะไร” โพล่งถามขึ้นขัด อีกฝ่ายมองตามอย่างไม่เข้าใจ

“ใครที่ไหนจะกล้าพูดว่าไม่กลัวผี ฉันกลัวสิ กลัวมากด้วย…”

คนได้ฟังปล่อยเสียงหัวเราะหมองๆ “ก็เท่านั้นเอง งั้นฉันก็จะไป”

ดวงตาเรียวสวยค่อยหลับลงช้าๆดังเช่นที่ทำมาหลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ ร่างบางเที่ยวปรากฏร่างไปหาคนที่คิดว่าสามารถช่วยเหลือเขาได้ด้วยสัมผัสพิเศษที่อนุญาตให้มีกับเฉพาะคนที่กำลังจะสิ้นลมหายใจอย่างเขาเท่านั้น คำปฏิเสธไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าอาการเชื้อเชิญเพียงเพราะเข้าใจผิดในครั้งนี้

เพียงแต่แค่คนที่เสียสละร่มของตัวเองมาให้เขาเกือบทั้งคันเอ่ยคำปฏิเสธออกมาเท่านั้น ก็เพียงแค่นี้ที่ทำให้กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

ร่างบางไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรเลยจริงๆ…เขาก็แค่ผิดหวังเท่านั้น ความหวังที่กำลังพองตัวที่จะหาคนช่วยเหลือในวินาทีคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นกับความตาย ก็แค่ผิดหวังที่มันกลายเป็นศูนย์เหมือนเดิม

เขา…คงเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับคนที่มีเนื้อหนังสมบูรณ์แบบที่เขาเองก็เคยมีมากเลยสินะ

หยดน้ำตาคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเหลือทิ้งไว้ให้คนร่างสูงคนนี้รู้สึกผิดไปจนชั่วชีวิตเมื่อเสียงห้าวนั้นเอ่ยขึ้นมาในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่คนร่างบางจะทันได้จากไปจากห้องนี้

“บอกว่าจะรบกวนฉันแล้วก็จะหนีไปทั้งแบบนี้น่ะเหรอ”

“เอ๋?” ดวงตาคู่สวยลืมพรึ่บเมื่อได้ยินเสียงนั้น หยดน้ำตายังคงรินไหลหากมือบางก็เลื่อนขึ้นปาดมันทิ้งไป

ยองอุนยกยิ้มรอท่า “ทำไมจะต้องร้องไห้ด้วย ฉันบอกสักคำแล้วเหรอว่าจะไม่ให้นายรบกวนน่ะ”

“ก็นาย…” คนที่เพิ่งปล่อยน้ำตาให้ไหลรินต่อหน้าเจ้าของห้องตัวสูงเอ่ยติดๆขัดๆ “นายบอกว่านายกลัว”

“วิญญาณจะต้องขี้แยแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า ฉันแค่บอกว่ากลัว แต่ในเมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว คุยกันมาก็ตั้งนานขนาดนี้ จะให้ฉันนิ่งดูดายได้เหรอ”

ประโยคแรกถูกละเลยเมื่อสองสามประโยคหลังบอกชัดว่าคนตัวสูงคนนี้พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ใบหน้าเรียวหวานยิ่งหวานขึ้นเมื่อรอยยิ้มยินดีกระจายเกลื่อน

“จริงๆนะ นายจะช่วยฉันจริงๆใช่ไหม”

ฟังเสียงใสที่ร่าเริงราวกับความฝันของตนเป็นจริงขึ้นมาในที่สุดแล้วก็อมยิ้ม นักศึกษาหนุ่มผู้กลัวผียิ่งกว่าอะไรทั้งหมดยักคิ้วให้อีกฝ่าย เสียงนุ่มกล่าวกลั้วหัวเราะ

“บอกมาสิว่าจะให้ช่วยอะไร…”

คำบอกเล่าจากร่างบางทำให้ยองอุนได้รับรู้ว่านับตั้งแต่ที่ร่างของเจ้าตัวถูกชนโดยรถสิบล้อคันใหญ่ตรงถนนโล่งค่อนไปทางแถบชานเมือง วิญญาณของเจ้าตัวก็เที่ยวร่อนเร่ไปหาคนที่พอจะมองเห็นและช่วยพาวิญญาณนี้กลับเข้าร่างที่ยังรู้สึกได้ว่ามีลมหายใจแม้จะรวยริน หากนอกจากจะไม่มีใครยอมช่วยเหลือแล้ว ผู้ที่พอจะมองเห็นร่างนี้ก็กลับวิ่งหนีหรือไม่ก็ขับไล่ไปด้วยความหวาดกลัว จนมาถึงเขาก็เป็นคนที่หก

“แล้วตอนนี้ร่างของนายอยู่ที่โรงพยาบาลอะไรล่ะ” ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันจบเรื่องเล่าของตัวเองลงแล้ว

ใบหน้าหวานส่ายไปมาช้าๆ “ไม่รู้เลย พอฉันรู้ตัวอีกทีก็ห่างออกมาจากที่ที่โดนรถชนแล้ว”

“อืม…” พยักหน้ารับเบาๆ ยองอุนก้มหน้าลงอย่างใช้ความคิด แม้อาจจะไม่มีความหวัง แต่สถานที่สุดท้ายที่คนร่างบางรู้สึกตัวน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดที่จะหาโรงพยาบาลที่รักษาร่างกายนี้ไว้พบ

ยองอุนเงยหน้าขึ้นอีกครั้งหลังจากสรุปกับตัวเองได้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป “ถ้าอย่างนั้นนายจำถนนที่นายถูกรถชนได้ไหม”

“จำได้”

“ถ้าอย่างนั้นเราจะไปเริ่มต้นกันที่นั่น ไปกันเถอะ” เจ้าของห้องลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คำพูดและท่าทางเป็นการเชื้อเชิญให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันลุกขึ้นตาม “โชคดีที่ฉันมีจักรยานอยู่นะ ไม่งั้นคงลำบาก ไป…”

“เดี๋ยวก่อน”

หันไปหาคนที่เดินตามมาพร้อมส่งเสียงเรียกรั้ง ยองอุนเลิกคิ้วขึ้นแทนคำถาม

“คือฉัน…เอ่อ ชื่อ…นาย” เสียงตะกุกตะกักที่ประกอบออกมาเป็นคำมากกว่าประโยคทำให้คนฟังยิ้มขำ

จริงสินะ…ก็ตั้งแต่นั่งคุยกันมาเขายังไม่ได้แนะนำตัวกับร่างบางนี้เลย

คนตัวสูงกว่าเดินกลับมาหาร่างที่ยืนนิ่งอยู่ห่างออกไป มือเย็นเฉียบดุจไร้อุณหภูมิไม่ได้เป็นอุปสรรคอีกแล้วเมื่อมือใหญ่เอื้อมลงจับไว้อย่างอบอุ่น รอยยิ้มกว้างเปิดเผยความจริงใจถูกส่งตรงไปยังเจ้าของมือเรียวในอุ้งมืออุ่นนี้

“จะถามชื่อเหรอ” ก้มหน้ามองตามใบหน้าหวานที่เบนหลบ เขาก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าคนที่แนะนำตัวกับเขาว่าเป็นวิญญาณจะแสดงอาการขลาดเขินได้น่าเอ็นดูเสียยิ่งกว่าคนปกติหลายเท่านัก

“ฉันชื่อคิมยองอุน ยินดีที่ได้รู้จักและได้ช่วยเหลือนะ”

คนอยากรู้ชื่อยอมหันหน้ากลับมาสบตา รอยยิ้มที่ได้เห็นแล้วมั่นใจว่าเป็นสัญลักษณ์แทนความสุขปรากฏขึ้นบนเรียวปากสีสวย

“ปาร์คจองซู ขอรับความช่วยเหลือนี้ไว้ด้วยความขอบคุณ”

ยองอุนหัวเราะให้กับประโยคแสนสุภาพนั้น มือใหญ่กว่ากระชับมือเรียวไว้มั่นขณะเอ่ย “ไปกันเถอะ”

จองซู…บริสุทธิ์เหมือนสีขาวของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ผิดจริงๆ

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

สายลมเย็นหลังฝนซาเม็ดยามดึกพัดผ่านเส้นผมอ่อนบางให้พลิ้วไหวระต้นคอระหง จักรยานที่ยองอุนขับดูจะเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อถนนที่จองซูบอกทางให้นั้นโล่งสนิทไร้ซึ่งรถยนต์แม้สักคันวิ่งสวนผ่าน มือบางที่พาดอ้อมเอวของอีกฝ่ายไว้เพิ่มแรงรัดขึ้นเมื่อจักรยานเข้าโค้ง ยองอุนเผยรอยยิ้ม ในใจนึกอยากจะให้เส้นทางทอดยาวมากกว่านี้อีกสักนิด แต่ก็คงเป็นโชคร้ายบนความโชคดีดีที่ถนนสายดังกล่าวทอดตัวอยู่ไม่ห่างไปจากเขตมหาวิทยาลัยของเขาเสียเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้ ภายในเวลาไม่นานจุดที่จองซูจำได้ว่าถูกรถชนก็ปรากฏให้เห็น

“แถวนี้แหละ” เสียงหวานเอ่ยขณะปล่อยมือออกจากเอวของสารถีผู้อุตส่าห์สละเวลาอ่านหนังสือของตนมาตามหาโรงพยาบาลที่ไม่รู้แม้ย่านที่ตั้งให้กับเขา

จองซูกระโดดลงจากจักรยานเพื่อเดินตรงไปหาร่องรอยที่น่าจะมีเจ้าหน้าที่มามาร์คจุดเอาไว้ ยองอุนเดินตามหลังไปช้าๆจนกระทั่งดวงตาคมมองเห็นรอยพ่นสเปรย์บนพื้นถนนที่ร่างบางหยุดยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“ตรงนี้เหรอ”

“อืม”

ร่างสูงกวาดมองพื้นที่รายรอบ ถนนยามค่ำคืนมืดมิดมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าต้นสูงส่องลงมาให้ความสว่างน้อยนิด ไม่มีวี่แววว่าจะหาคนที่พอจะรู้เห็นเหตุการณ์เพื่อถามไถ่ให้รู้ความได้เลย

ใบหน้าหวานที่หันมองแฝงแววกังวลไม่ต่างจากเสียงหวาน “เราจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะ”

คนถูกถามไม่ได้ตอบ คงเพราะมืดมนด้วยหนทางก็ส่วนหนึ่ง หากทว่าในวินาทีที่มีเพียงความสิ้นหวังลอยฟุ้งอยู่รอบกาย เสียงเรียกจากหญิงชราที่เบื้องหลังก็ทำให้คนร่างสูงหันมองแทบจะทันที

“พ่อหนุ่ม มายืนทำอะไรคนเดียวบนถนนมืดๆแบบนี้กันล่ะฮึ” กระแสเสียงอ่อนเบาสั่นเครือด้วยอายุของหญิงชราเอ่ยถาม

“คุณยายครับ คือ…ที่นี่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่นานใช่ไหมครับ” ย้อนถามด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ใบหน้าคมปรากฏรอยยิ้มยินดีเมื่อคู่สนทนาพยักหน้ารับ

“ใช่แล้ว เมื่อสองวันก่อนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นน่ะ เด็กหนุ่ม…น่าเสียดายที่ยังหนุ่มนัก โดนรถชนเข้า”

“แล้วเขาถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลอะไรเหรอครับ” ซักต่อโดยไม่รอให้เธอพูดอะไรมากไปกว่านั้น

หญิงชราขมวดคิ้วเข้าหากัน อาการที่แสดงราวกับกำลังนึกย้อนความทรงจำของตัวเอง “ฉันได้ยินเขาพูดกัน บอกว่าโรงพยาบาล A”

ยองอุนก้มหัวลงต่ำ เสียงทุ้มรัวพูด “ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากๆครับคุณยาย ขอบคุณ”

เอ่ยได้เพียงคำขอบคุณทิ้งท้ายก่อนจะพุ่งตัวตรงไปยังจักรยานที่จอดรอท่าอยู่ไม่ไกลพร้อมกันกับจองซู นักศึกษาหนุ่มบังคับพาหนะสองล้อให้เคลื่อนห่างออกไปด้วยความรวดเร็วท่ามกลางสายตาของหญิงชราที่มองตาม เสียงสั่นเครือเอ่ยเบาๆก่อนที่ร่างทั้งร่างจะค่อยๆเลือนลงจนกระทั่งหายไป

‘มันยังไม่ถึงเวลาของเจ้าหรอก เด็กน้อย จงไปเสียเถิด รีบไปเสียให้ทัน…’

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

โรงพยาบาล A

ทางเดินเข้าทอดยาวสว่างไสวดังที่โรงพยาบาลเอกชนจะพึงมี ชายหนุ่มรีบวิ่งตรงเข้าไปสอบถามนางพยาบาลที่เฝ้าเวรอยู่ตรงเคาน์เตอร์ทันที

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคนไข้ชื่อปาร์คจองซูที่โดนรถชนเมื่อสองวันก่อนตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ส่งเสียงถามไม่เบานักประกอบกับสีหน้าเอาเรื่องจนกระทั่งเจ้าของชื่อที่ตามหลังมาต้องจับต้นแขนนั้นหวังจะปรามไว้บ้าง

เสียงหวานเอ่ยข้างกายเพียงแผ่ว “ไม่ต้องร้อนรนแบบนั้นก็ได้ ฉันคงยังไม่ตายเร็วๆนี้หรอก”

คำว่าคงยังไม่ตายเร็วๆนี้ช่างตบตากันได้ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย หางตาลอบมองร่างที่มาหยุดอยู่เคียงกัน เลือนรางในแสงจ้า แผกไปจากเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ยังอยู่ในห้องพักของเขาอย่างสิ้นเชิง แบบนี้น่ะหรือที่เรียกว่าคงยังไม่ตายเร็วๆนี้

“ขอโทษด้วยนะคะ แต่ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคุณจองซูเหรอคะ” เธอย้อนคำถามกลับมาหายองอุน

ชายหนุ่มจ้องตากลับ ไม่คาดคิดว่าเมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วยังจะต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากแบบนี้อีก เสียงห้าวตอบกลับห้วนสั้น

“เพื่อนครับ”

“เพื่อน?” นางพยาบาลทวนคำ “ชื่ออะไรคะ”

“คุณ!!!” ท่าทางและน้ำเสียงราวกับกำลังดูถูกทำให้ยองอุนหมดความอดทน มือใหญ่ตบลงบนเคาน์เตอร์ด้วยแรงมหาศาลอย่างที่ไม่เกรงความเจ็บ เสียงที่เรียกตวาดก้องจนคนผ่านมาหันมอง

จองซูแตะมือลงบนแขนที่ท้าวอยู่เหนือศีรษะของพยาบาลที่หน้าซีดเผือดไปถนัด “ยองอุน…”

เสียงเรียกชื่อเพียงแผ่วเบาฉุดรั้งสติที่ปลิวว่อนหายไปในอากาศให้กลับมารวมกันได้อีกครั้ง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าจองซูคนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่ตอนนี้จะเป็นลูกหลานใครหรือใหญ่โตมาจากไหนถึงขั้นว่านางพยาบาลธรรมดาๆจะต้องมาคอยซักไซ้ไล่เรียงคนที่ถามถึง แต่ตอนนี้เขามีเรื่องด่วนที่จะต้องทำ เรื่องที่รอให้ใครมานั่งซักประวัติไม่ได้

“ผมชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหนมันไม่สำคัญหรอกนะครับ ผมพูดถูกรึเปล่าว่าคุณจองซูของคุณกำลังอยู่ในขั้นโคม่า แม้แต่ลมหายใจก็กำลังจะยื้อไว้ไม่อยู่แล้ว กรุณาบอกผมด้วยเถอะครับว่าตอนนี้เขากำลังรักษาตัวอยู่ที่ไหน”

น้ำเสียงแน่วแน่และแววตาเอาเรื่องที่ยังคงคุกรุ่นคงเพียงพอที่จะกดดันนางพยาบาลคนดังกล่าวให้ยอมบอกข้อมูลออกมาได้ เพราะเพียงสิ้นสุดคำถามย้ำเป็นครั้งที่สองของเขา เธอก็รีบตอบทันที

“ห้องไอซียูชั้นสิบค่ะ”

ไม่มีเสียงขอบคุณดังเคย ยองอุนรีบตรงดิ่งไปยังลิฟต์ตัวที่จะพาเขาขึ้นไปยังห้องที่คนร่างบางพักรักษาตัวอยู่ในทันที

การพักรักษาตัวในชั้นที่อยู่สูงขนาดนั้นก็คงเป็นชั้นที่สร้างไว้เฉพาะคนที่มีความสำคัญจริงๆนั่นแหละ…

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ยองอุนก็ไม่คิดถามคนที่มาขอความช่วยเหลือจากเขาว่าแท้จริงเป็นคนสำคัญอย่างไร เพราะเพียงแค่เมื่อประตูลิฟต์ปิดเข้าหากันจนสนิท ร่างที่เลือนรางอยู่แล้วเป็นทุนเดิมของจองซูก็ทรุดลงกองกับพื้นไม่ห่างไปจากจุดที่เขากดปุ่มสั่งการให้ลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นสู่ชั้นบน

ร่างสูงตรงดิ่งไปยังอีกฝ่ายที่สีหน้าดูจะเหนื่อยล้าเต็มที เสียงทุ้มเอ่ยถามร้อนรน

“จองซู…จองซู…เป็นอะไรไป”

“เหนื่อย…” คำตอบสั้นและไร้ซึ่งน้ำเสียงสดใสดังเช่นที่ได้ยินเมื่อแรกพบทำให้คนฟังใจหาย มือใหญ่ข้างหนึ่งแตะลงบนพวงแก้มซีดขาวในขณะที่มืออีกข้างสอดลงโอบรอบแผ่นหลังบางไว้

“เดินเองไม่ไหวแล้วใช่ไหม จองซู ตอบหน่อยสิ อย่าเพิ่งหลับนะ”

ดวงตาคู่สวยพยายามฝืนลืมพลางเอ่ย “อืม คงไม่ไหว”

“ขี่หลังฉัน” ชายหนุ่มร่างสูงจัดแจงพาดท่อนแขนเรียวทั้งสองข้างให้วางลงบนบ่าของเขาในทันที ยองอุนค่อยๆลุกขึ้นยืน บนหลังประคองดวงวิญญาณที่แทบไร้เรี่ยวแรงอาจเพราะวันเวลาที่ออกจากร่างไปนานนั้นไว้

“ยองอุนอา…” เสียงหวานแม้แผ่วเบากระซิบอยู่ข้างหู เจ้าของชื่อเงียบเพื่อรับฟัง “ขอบคุณจริงๆนะ”

“ฉันจะรับคำขอบคุณจริงๆก็ต่อเมื่อนายกลับเข้าไปในร่างของตัวเองแล้วขอบคุณฉันตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เข้าใจรึเปล่า”

จองซูหัวเราะเบาๆ “ฉันกลัวจะไม่ไหว”

ดวงตาคมเหลือบมองตัวลิฟต์ที่ค่อยเคลื่อนใกล้ชั้นที่สิบไปเรื่อยๆ เสียงทุ้มเอ่ยกับร่างที่อยู่บนหลังไปพลาง

“ไหวสิ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง ทนอีกหน่อยเถอะนะ ฉันช่วยนายมาขนาดนี้แล้วมันจะจบลงง่ายๆอย่างนี้ได้ยังไง”

“นายเก่ง” ตอบเสียงเบา

ก็หากเป็นเวลาปกติยองอุนคงจะหัวเราะไปกับคำชมที่ไม่ได้ยินมานานนี้ได้ แต่คงไม่ใช่กับตอนนี้ ตอนที่คนพูดกำลังจะจากไปตลอดกาล

“นายก็ต้องเก่งกับฉัน ถึงแล้วล่ะจองซู อดทนไว้นะ”

ชั้นที่ประตูลิฟต์เปิดออกนั้นร้างผู้คน ที่สุดปลายทางมองเห็นห้องกระจกเพียงห้องเดียวบนชั้นทั้งชั้น ยองอุนประคองร่างของจองซูตรงไปยังห้องห้องนั้น

ภาพที่ดวงตาคมมองเห็นเป็นภาพของร่างบอบบางเช่นเดียวกันกับร่างที่พาดแขนไว้รอบลำคอของเขาอยู่ในตอนนี้ แขนขาวเรียวเล็กที่ได้สัมผัส เบื้องหน้ากลับเจาะสายระโรงระยาง เครื่องช่วยหายใจครอบทับใบหน้าเรียวขาว ดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม เสียงเครื่องวัดชีพจรยังคงดังต่อเนื่องแม้จะดูอ่อนแรงเต็มที

จองซูเอ่ยถามเบาๆ “น่ากลัวรึเปล่า”

“อะไรน่ากลัว ก็เหมือนนายตอนนี้นั่นแหละ” แว่วได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนบนหลัง ยองอุนพูดต่อไป “นายจะต้องกลับไปนะจองซู ฉันพามาส่งแล้ว”

“ฉันกลัว…”

เหลือบมองใบหน้าใสที่เอียงซบอยู่บนบ่าของตนขณะถาม “กลัวอะไร”

“เยอะแยะไปหมด”

คำตอบเลี่ยงๆราวกับจะยื้อเวลาทำให้คนฟังต้องตัดใจ เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยใช้กับใคร

“จองซูอา…”

“หืม?” ตอบรับเบาๆ

“ความกลัวไม่ทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้หรอกนะ”

“บางทีฉันก็ไม่อยากจะเดินหน้า”

“เพื่อฉัน” สิ่งที่ยองอุนกำลังพูด ไม่ได้โน้มน้าว หาก…ขอร้อง “ถือว่าทำเพื่อฉันเถอะนะ กลับเข้าไปอยู่ในที่ที่นายควรจะต้องอยู่ แล้ววันที่นายออกจากห้องนี้ได้ฉันก็จะมาเยี่ยม มารับคำขอบคุณไง ตกลงไหม”

รับรู้ถึงกลุ่มผมนุ่มที่เคลียอยู่ที่ลำคอเมื่อเจ้าของร่างที่เขาประคองไว้บนหลังพยักหน้ารับ ยองอุนเผยยิ้ม

“ดี งั้นบอกฉันมาสิว่านายจะต้องทำยังไงต่อไป นี่มันอยู่นอกกระจกเชียวนะ”

ดวงตาคู่ที่หลับพริ้มอย่างอ่อนล้าฝืนลืมขึ้นช้าๆเพื่อมองร่างอีกร่างของตนในห้องกระจก เสียงใสบอกกับคนที่ยังคงประคองร่างของเขาไว้เบาๆ

“นายต้องปล่อยฉันลงแล้วล่ะ”

ยองอุนทำตามคำพูดนั้น ชายหนุ่มปล่อยให้จองซูยืนเองแม้จะยังคงจับมือเรียวข้างหนึ่งไว้เพื่อประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรง ร่างบางวางมืออีกข้างของตนลงบนแผ่นกระจกใสขวางกั้น ใบหน้าหวานเบนกลับมาหาคนตัวสูงที่จับมืออีกข้างของเขาไว้นิ่งนานราวกับเป็นครั้งสุดท้าย

“ขอบคุณจริงๆที่ช่วยฉันไว้ ไม่ได้นายฉันคงต้องตายไปจริงๆ”

คนฟังยิ้ม “ฉันยินดีช่วยเหลือ และดีใจที่ได้ช่วย”

“ฉันรู้” รอยยิ้มแม้บางเบาทว่าลักยิ้มสวยก็ยังคงปรากฏให้ได้เห็น “ฉันต้องไปแล้วจริงๆใช่ไหม”

“อืม” ตอบรับแม้จะรู้สึกได้ว่าใจหาย

“งั้นก็…ปล่อยมือฉันออกเถอะ”

ยองอุนก้มลงมองมือเรียวขาวที่เขายังจับยึดเอาไว้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยืนมองอยู่แบบนี้นอกเสียจากจะส่งผลร้ายต่อเจ้าของมือข้างนี้เสียอีก อุ้งมือที่กอบกุมรอบนิ้วเรียวค่อยคลายออกช้าๆจนมือของจองซูถูกปล่อยออกเป็นอิสระในท้ายที่สุด

แสงเจิดจ้าบาดตาปรากฏขึ้นในวินาทีเดียวกับที่ยองอุนปล่อยมือบางนั้นออกจากการเกาะกุม แม้แสงที่เกิดขึ้นต่อหน้าจะจ้ามากเสียจนควรจะต้องปิดตาเพื่อหลบหนีไปเสีย หากชายหนุ่มร่างสูงกลับไม่ทำเช่นนั้น ดวงตาคมยังคงมองใบหน้าของคนที่กำลังยิ้มให้เขาแม้จะเห็นชัดว่าน้ำตาหยดเล็กไหลเลี้ยวลงตามใบหน้าเรียวขาวนั้น และก็คงเป็นเพียงแค่น้ำตาหยดเดียวที่มีโอกาสได้เห็นเมื่อแสงนั้นมืดดับลงพร้อมกับวิญญาณของจองซูที่จางหายไป

เสียงเครื่องตรวจวัดชีพจรดูจะทำงานแข็งขันขึ้นมาเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าวิญญาณดวงที่ช่วยเหลือไว้กลับเข้าสู่ร่างของตนได้ในที่สุด ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มในวินาทีที่หันหลังเดินจากมา

เขาส่งจองซูให้เดินหน้าไปได้แล้ว เพราะฉะนั้น การสอบที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้เขาก็คงจะต้องกลับไปเริ่มต้นเดินหน้าต่อบ้างแล้วละมัง…

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

ผ่านไปแล้วหลายอาทิตย์ คิมยองอุนคนที่ชอบงีบหลับก็ยังคงงีบหลับอยู่อย่างเดิม ดังนั้นแล้ว คิมฮีชอลผู้คอยตามบ่นก็จึงไม่วายต้องคอยบ่นคอยว่าอยู่อย่างเดิมเช่นเดียวกัน

วันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม พี่ชายหน้าหวานนัดให้ยองอุนไปทำงานของชมรมตอนช่วงเย็นหลังเลิกเรียนอีกเช่นเคย พี่ชายร่างเพรียวไม่เคยเข็ดแล้วก็คงไม่คิดเข็ดขยาดกับนิสัยอู้งานของเขาแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตอนนี้ร่างสูงกลับกำลังเดินอยู่ในเขตของโรงพยาบาลที่อยู่ห่างออกมาจากมหาวิทยาลัยหลายกิโลเมตรโดยไม่ได้หวั่นเกรงถึงอาการโมโหเป็นฟืนเป็นไฟของพี่ชายคนดีเลย

พรุ่งนี้เขาจะเอาคอไปให้บั่นแต่เช้า เพียงแค่วันนี้และตอนนี้เท่านั้นที่เขาจะต้องมาเยี่ยมคนป่วยที่นี่ให้ได้ หากจะถามว่าแล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าคนร่างบางคนนั้นฟื้นจากการหลับใหลแล้ว คำตอบก็คงเป็นไม่รู้ เพราะยองอุนก็แค่รู้สึกว่าวันนี้แหละเป็นวันที่เขาควรจะมา…ก็เท่านั้น

ดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ในมือหนากระชับไว้มั่นเมื่อเดินตรงเข้าไปใกล้กับห้องพักฟื้นพิเศษที่สอบถามมาจากนางพยาบาลคนเดิมที่เคยเจอกันเมื่อวันที่เขาพาจองซูมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ รองเท้าผ้าใบเปื้อนฝุ่นหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูห้องเพื่อรวบรวมความกล้าที่โบยบินหายไปโดยไม่รู้ตัวกลับมา

มือใหญ่เคาะลงที่บานประตูเบาๆก่อนที่จะผลักเข้าไปภายใน บนเตียงผู้ป่วยที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไปจากประตูบานเลื่อนกระจกซึ่งเปิดออกสู่ระเบียงห้องปรากฏร่างบอบบางคุ้นตาเอนหลังพิงหมอนใบใหญ่อยู่ ในมือเรียวถือหนังสือเล่มเล็กไว้ในขณะที่ใบหน้าเรียวขาวทอประกายล้อแสงแดดยามเย็นที่ส่องลอดผ่านรอยแยกของม่านยาวหันมองมาที่ยองอุน

คนร่างสูงส่งรอยยิ้มอ่อนไปหาคนป่วย เสียงทุ้มเอ่ยกับคนที่มองมาทางเขา

“จองซู ฉันมาเยี่ยม…”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของยองอุนค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยช้าๆเมื่อเจ้าของเสียงหวานละมุนที่เขาจำได้ดีเอ่ยถามเบาๆ

“เรา…รู้จักกันด้วยเหรอ”

คำถามที่ทำให้โลกทั้งใบราวกับจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ ดวงตาคมมองสบลงในนัยน์ตาสีน้ำตาลแก่ซึ่งยังคงฉายแววพิศวงอย่างปิดไม่มิด ไม่มีความรู้สึกอื่นใดให้สัมผัสได้เลยนอกจากความสงสัยเท่านั้น

ยองอุนค้อมศีรษะลงน้อยๆ ชายหนุ่มเอ่ยตอบเบาๆก่อนจะถอยหลังออกจากห้องพักฟื้นพิเศษดังกล่าวไป

“ขอโทษครับ ผมคงทักคนผิด”

“อ๊ะ เดี๋ยวสิ…”

เสียงเรียกรั้งจากคนป่วยบนเตียงดูจะไม่ทันการเสียแล้วเมื่อเจ้าของช่อดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ปิดประตูห้องพักให้เขาจนสนิทดังเดิม ร่างบางปล่อยความสงสัยให้ล่องลอยไปกับสายลมก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือในมือที่อ่านค้างไว้เมื่อครู่ต่ออีกครั้งโดยไม่คิดติดใจอะไรอีก

…ก็คงแค่ทักคนผิดล่ะมั้ง…

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

บนระเบียงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นพิเศษ ร่างสูงของยองอุนเดินห่างมาจากประตูห้องพักของจองซูช้าๆ หากใบหน้ากลับแย้มรอยยิ้มกว้าง

แน่ล่ะว่าเขาไม่ได้ทักคนผิด ใบหน้าเรียวขาวกับริมฝีปากบางแดงสดนั้นเขาจะลืมมันไปได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตามที่ทำให้จองซูจำเขาไม่ได้ เขาก็จะไม่ฝืนสิ่งที่มันกำลังเป็นอยู่นี้ไปอย่างแน่นอน

เขาช่วยจองซูไม่ใช่เพราะต้องการให้จองซูขอบคุณอย่างที่บอกกับร่างบางไว้ตอนก่อนจะส่งวิญญาณอีกคนให้เข้าร่างหรอก แต่ที่ช่วยก็เพราะอยากจะช่วย ช่วยก็เพราะลึกๆในใจมันเรียกร้องให้ทำ เรียกร้องให้ความกล้าหาญที่หายไปนานกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง

หากเพียงแค่ตอนนี้จองซูจะมีความสุขดีกับชีวิตที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคิมยองอุน ยองอุนก็จะขอมีความสุขกับชีวิตที่มีความทรงจำเกี่ยวกับปาร์คจองซูต่อไป อย่างน้อย…ก็จนกว่าสมองของเขามันจะสั่งให้ลืมก็เท่านั้น

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

The End

[SF AU KangTeuk] ความคิด

19 Sep

อยู่ดีๆก็คิดถึงฟิกเรื่องนี้ขึ้นมา แต่งเองคิดถึงเอง ^^ ไม่ผิดเนอะ …

Title :: ความคิด
Pairing :: Kangin x Leeteuk
Author :: ParkSooHyun
Rating :: PG-13
Genre :: Song Fic/AU
Song :: ความคิด – Stamp

Author’s Note :: เรื่องราวทั้งหมดที่แต่งขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น*

********************************************************

ความคิด

บนถนนสายเล็กที่ไม่ค่อยพลุกพล่านด้วยผู้คน…

ทางเดินปูอิฐทอดยาวไปเบื้องหน้า เรียงรายสองข้างทางด้วยบ้านหลังน้อยสลับกับทุ่งกว้างรกร้างไร้ซึ่งผู้ดูแลหากกลับไม่ขัดตาแต่อย่างใด

บนความรู้สึกราวอ้างว้างเงียบงันท่ามกลางความสงบนิ่งของบรรยากาศรายล้อม สายลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง หอบเอาเศษใบไม้แห้งติดตามมาด้วย อดีตใบที่เคยชอุ่มเขียวอยู่บนต้นละล่องลอยอย่างนุ่มนวล เนิบช้า แหวกผ่านม่านอากาศ ตราบจนมาจรดลงที่ปลายเท้าคู่หนึ่ง

ยังเดินผ่านทุกวัน
ที่ที่เราพบกันเมื่อก่อน
ยังจำซ้ำๆได้ทุกตอน
ราวกับมีใครมาหมุน ย้อนเวลา…

เสียงฝีเท้ากระทบทางเดินที่ถูกกรุยไว้ด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม เบาแสนเบาเมื่อเทียบกับเสียงนกน้อยขับขาน ทว่า กลับดังก้องอยู่ในใจของเจ้าของเท้าคู่นั้นเสียยิ่งนัก

นัยน์ตาคมดุแทรกความน่าขามเกรงแก่ผู้พบเห็นเวลานี้กลับทอดแสงอ่อนลงเบนตามการเคลื่อนไหวของใบไม้ใบน้อยที่ตัดสินใจมาทิ้งตัวลงตรงหน้าตน มือข้างหนึ่งที่ว่างขยับผ้าพันคอสีขาวสะอาดตาที่หยิบติดมือมาด้วยให้กระชับขึ้นอีกเล็กน้อยราวกับเรียกหาความอบอุ่นจาก “เจ้าของ” ผ้าผืนนั้น

…อากาศเริ่มจะหนาวอีกแล้ว…

ชายหนุ่มบอกกับตัวเองเช่นนั้นเมื่อรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่เป็นต้นเหตุนำพาเจ้าใบไม้กรอบแห้งปลิดปลิวลงมากองอยู่ตามทางเดินเสียมากมายเช่นนี้

มือที่กระชับผ้าผืนน้อยทิ้งลงข้างตัวเพื่อใช้โอบประคองกลีบดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ในอีกมือหนึ่งอย่างถนอมขณะที่เจ้าของมันก้าวย่างด้วยความมั่นคงไปเบื้องหน้า

เขาไม่ใช่คนขี้หนาว และไม่ใช่คนที่หลงใหลในความงามของธรรมชาติอย่างเช่นดอกไม้ดอกเล็กๆที่ถืออยู่ในมือเช่นนี้

และหากจะเอาความไปเล่ากับใครว่าพบเห็นคนเช่นเขามาเดินทอดน่องอยู่แถบชานเมืองเงียบๆอย่างถนนสายนี้ก็คงจะไม่มีใครเชื่อเป็นแน่ เพราะสำหรับ…คิมยองอุน…แล้ว สถานที่ที่เหมาะสมกับเขา อย่างน้อยก็ในสายตาของทุกๆคน มันควรจะเป็นสถานที่ที่มีเพียงความอึกทึกรายรอบกาย กลิ่นไอคลุ้งเอียนของกลุ่มควันสีเทาจากมวนบุหรี่ และผู้คนมากหน้าหลายตาที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ

ผับ…

สถานที่ที่เขาชื่นชอบนัก แต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นสถานที่ที่ฉีกกระชากหัวใจทั้งดวงของเขาให้ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี และต้องเจ็บปวด…มากเสียจนไม่กล้าแม้แต่จะย่างเท้ากลับเข้าไปเหยียบที่นั่นอีก ทำได้เพียงทิ้งมันไว้กับความทรงจำเบื้องหลังท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ของบรรดาเพื่อนฝูง เหลือเพียงตัวเขาคนเงียบขรึมที่มีกิจวัตรประจำวันคือการมาเดินทอดฝีเท้าไปตามทางเดินยาวสุดตาดังเช่นตอนนี้

ห่างออกไปไม่ไกล สายตาคมกริบก็ได้รับภาพม้านั่งไม้โดดเดี่ยวริมทางเดิน แทบจะถูกปกคลุมไว้ด้วยวัชพืชที่เติบโตขึ้นอย่างไร้การดูแลเอาใจใส่จากใครก็ตามที่ควรจะเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มอบอุ่นไม่ต่างจากแววอ่อนโยนจากนัยน์ตา

ชายร่างสูงเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเอนหลังไปกับพนักแข็งที่ไม่ชวนให้สบายตัวท่าไรนัก หากกลับทำให้คนที่ทำเช่นนั้นสุขใจเสียจนต้องพริ้มตาหลับลง ปล่อยกายให้ผ่อนคลายไปกับลมเย็นที่พัดมาไม่ขาดสาย ให้สายลมนั้นนำพาความคิดย้อนกลับไปในห้วงแห่งความทรงจำแสนสุข

ความทรงจำ…ที่จะไม่มีวันลืม

********************************************************

วันนั้นก็เหมือนกันกับวันนี้…

อากาศที่เริ่มจะเย็นลงกับลมที่พัดเบาๆหากกลับพาให้ใบไม้มากมายปลิวเกลื่อนลงสู่พื้น บรรยากาศที่ควรจะคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของธรรมชาติอย่างบริบูรณ์กลับถูกรถยนต์สีเข้มคันใหญ่ทำลายมันลงไปแทบจะสิ้น รถยนต์หรูเร่งความเร็วไปตามทางที่เกือบจะเรียกได้ว่าเล็กเกินไปอย่างไม่นำพาซึ่งสิ่งใด ไม่ต่างกับเจ้าของพาหนะคันนั้นที่กำลังแสดงสีหน้าอาการไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งกับ “งาน” ที่ตนได้รับคำสั่งให้มาดำเนินการให้เรียบร้อย

การมาสำรวจพื้นที่ที่จะสร้างรีสอร์ทของเจ้านายที่คิดจะแหวกแนวทางของบริษัทออกไปด้วยคอนเซปต์ความสงบท่ามกลางธรรมชาติแทนที่จะเป็นความหรูหราใจกลางเมือง กับการใช้งานให้คิมยองอุนคนที่เกลียด “ความสงบท่ามกลางธรรมชาติ” เป็นที่สุดมาเป็นผู้สำรวจพื้นที่ก่อนใครนั้น ไม่ว่าพนักงานคนไหนๆที่ได้ยินเรื่องก็แทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิดเสียด้วยซ้ำไปว่ามันสุดแสนจะไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

หากก็เพราะเจ้านายที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งนายใช้วิธีการไม่ว่าจะขอร้อง บังคับ หรือกระทั่งจูงใจด้วยเหล้านอกอีกสองสามขวด สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการที่คิมยองอุนตะบึงตะบอนยอมขับรถมาทำงานให้ตามที่สั่ง

เสียงหึในลำคอดังขึ้นราวกับเยาะตัวเองที่ยอมเห็นแก่ของกำนัลราคาแพงของเพื่อนและยอมมาทำงานนี้ให้ เพราะสายตาคมที่ละออกจากกระจกหน้ารถเพื่อไปมองทิวทัศน์ข้างทางที่เจ้าเพื่อนรักโปรโมทนักหนาว่าสวยไม่มีรีสอร์ทไหนเทียบติดไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเกิดความประทับใจเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายมันกลับยิ่งอยากทำให้เขารีบๆกลับโซลเร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำไป

ก็คิมยองอุนกับทุ่งหญ้าสีอ่อนที่ปลิวไสวไปตามสายลมแผ่วข้างนอกนั่นน่ะ…มันเหมาะกันที่ตรงไหนไม่ทราบ

กินเวลาอยู่ไม่น้อยที่ชายหนุ่มเจ้าของรถยนต์คันโก้เบนสายตาออกจากกระจกหน้ารถที่ควรจะเพ่งสมาธิไปเพื่อโต้เถียงความคิดแปลกๆของเพื่อนในใจ และมันก็คงจะนานเกินไปเสียด้วย เพราะเมื่อยองอุนหันกลับมามองยังจุดที่ควรจะมองอีกครั้งก็ปรากฏว่ารถทั้งคันของเขากำลังพุ่งตรงเข้าไปหาร่างบอบบางบนจักรยานคันเล็กๆที่ไม่มีทางเบี่ยงหลบได้ทันนอกเสียจากว่าจะทิ้งตัวลงข้างทางที่ค่อนข้างจะรกเรื้อนั้น เท้าที่ออกแรงกดไปบนคันเร่งรีบย้ายมาอยู่บนแป้นเบรกพร้อมกดแรงลงไปเต็มที่ในทันที

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดด…

เสียงล้อรถบดเบียดกับพื้นปูอิฐเกิดเสียงดังสนั่นด้วยความแรงของรถที่ส่งตัวมาตั้งแต่ต้น หากเจ้าพาหนะคันใหญ่ที่พาเขามาจนถึงที่นี่ที่ยังคงประคองตัวอยู่บนเส้นทางได้ก็ได้หยุดสนิทลงตามที่ใจสั่งเรียบร้อยในที่สุด ใช้เวลาหายใจหายคอเอาอากาศเข้าปอดเพื่อเรียกขวัญที่บินกระเจิงออกไปไกลอยู่สักครู่ก่อนจะนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ขวัญของเขามีอันต้องบินหนีออกไปจากกระหม่อมขึ้นมาได้

“บ้าเอ๊ย…เมื่อกี้ชนรึเปล่าก็ไม่รู้” สบถเสียงเบากับตัวเองหลังจากที่ภาพของคนตัวเล็กๆบางๆบนจักรยานเมื่อครู่แวบผ่านเข้ามา

…ท่าทางจะเป็นผู้หญิงเสียด้วย จะได้เสียความเป็นสุภาพบุรุษกันก็วันนี้แหละหนอคิมยองอุน…

มือใหญ่ปลดล็อกก่อนจะรีบพาตัวเองลงจากรถยนต์คันใหญ่เพื่อไปสำรวจความเสียหายของอีกฝ่ายที่น่าจะได้บาดแผลเล็กๆน้อยๆจากความประมาทเมื่อครู่ของเขาอย่างรีบเร่ง ขายาวพาชายหนุ่มเดินอ้อมหน้ารถมาหยุดลงตรงทางเดินที่เกลื่อนกระจายไปด้วยดอกไม้สีขาวที่ ณ บัดนี้สีของมันดูจะหม่นๆลงไปเพราะกลีบบางที่ลงไปคลุกอยู่กับฝุ่นเสียเต็มที่ กับคนตัวผอมในชุดขาวทั้งตัวที่น่าจะเป็นเจ้าของดอกไม้พวกนั้นที่กำลังก้มตัวลงเก็บดอกไม้ขึ้นมาทีละดอกสองดอก

เสี้ยวหน้าด้านข้างที่ได้เห็นทำให้ความรู้สึกผิดพุ่งเข้าใส่ยองอุนอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อดวงตากลมที่ก้มมองของในมือดูเปี่ยมไปด้วยความเสียดายไม่ต่างไปจากท่วงท่าที่ค่อยๆเก็บเจ้าพรรณไม้เล็กๆขึ้นมาจากพื้นถนน

ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเป็นคนขาดความละเอียดอ่อนจนถึงขั้นร้ายแรงไปบ้าง แต่การที่ต้องมาเห็นภาพผู้หญิงทำหน้าตาท่าทางเสียใจเพราะเขาเป็นต้นเหตุก็เรียกให้สามัญสำนึกของความเป็นคนดีของเขารีบออกมาแสดงตัวได้อย่างเช่นในตอนนี้

ยองอุนก้าวเข้าไปใกล้ร่างนั้นพลางย่อตัวลงเพื่อช่วยผู้เสียหายเก็บดอกไม้ซึ่งเกลื่อนกระจายอยู่ตามพื้นปูอิฐ เจ้าของมือบางที่สาละวนอยู่กับการรวบรวมดอกไม้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนตัวสูงที่กำลังส่งยิ้มอย่างรู้สึกผิดมาให้

ยองอุนรีบออกตัวก่อนที่อีกคนจะได้พูดอะไร “อา…ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ คือว่าผมรีบไปหน่อยน่ะ”

ฝ่ายที่รับคำขอโทษซึ่งควรจะต้องตีโพยตีพายเรียกร้องค่าเสียหายจากยองอุนอย่างที่คนทั่วๆไปน่าจะทำกันหรืออาจจะตวาดแว้ดกับคำแก้ตัวที่ฟังยังไงก็ดูไม่มีน้ำหนักเพียงพอกลับส่งยิ้มตอบกลับมาให้ บางเบา…หากกลับทำให้คนมองรู้สึกประทับใจได้ไม่ยาก

น้ำเสียงไพเราะนุ่มนวลเอ่ยตอบทำให้เขาได้รู้ว่าคนตรงหน้านี้…

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ดูท่าทางจากที่คุณขับรถตรงมาแต่แรกก็รู้แล้วว่ารีบ ผมต่างหากที่ผิด รถเล็กควรจะหลบรถใหญ่จริงไหมครับ”

…เป็นผู้ชาย

อา…ว่าแต่ทำไมหน้าตาของผู้ชายคนนี้ถึงได้หวานเหมือนผู้หญิงได้ถึงขนาดนี้กัน แถมรูปร่างก็บอบบางเกินกว่าจะเป็นผู้ชายเสียอีก

ยองอุนสลัดความคิดของตัวเองออกไปเมื่ออีกคนยังคงส่งยิ้มมาให้ราวกับกำลังรอคำตอบรับจากเขาอยู่ …ก็ขนาดยิ้มยังหวานเกินกว่าจะเหมือนผู้ชายขนาดนี้เลย…

“อา…ครับ ก็อาจจะจริง แต่ถึงยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยอยู่ดีนะครับที่ทำให้ต้องเสียเวลา แถมยังต้องเสียของแบบนี้”

เสียงหัวเราะเบาๆไม่ได้แสดงว่าอีกคนโกรธเคืองแต่ประการใด ซ้ำจากท่วงท่าที่ร่างบอบบางในชุดขาวเบื้องหน้ายืดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงยังดูจะคลายความเสียดายที่ได้เห็นเมื่อครู่ลงไปแล้วด้วยซ้ำ

“ช่างมันเถอะครับ ก็แค่ดอกไม้ธรรมดาเท่านั้นเอง มันไม่ได้มีค่ามากไปกว่าคำขอโทษของคุณหรอก คุณนี่…เป็นคนดีจังนะครับ”

วาจายกย่องคนที่เพิ่งด่าทอบรรยากาศแสนสบายอย่างเช่นยองอุนที่ได้ฟังไม่ได้ทำให้คนที่ลุกตามร่างบางอีกคนขึ้นมาเผยรอยยิ้มได้อย่างบริสุทธิ์ใจเลย

…คนดี…อย่างนั้นเหรอ? เขาเนี่ยนะ…

ถึงจะตะขิดตะขวงใจไม่ค่อยอยากรับคำชมสักเท่าไรนัก หากยองอุนก็กลับก้าวตามหลังคนตัวเล็กกว่าที่เพิ่งสรุปกับตัวเองแล้วให้นิยามคำว่าคนดีกับเขาเสร็จสรรพไปยังเก้าอี้ไม้ตัวเล็กๆที่ตั้งอยู่ริมทางราวกับรู้ว่าจะต้องใช้เป็นที่นั่งพักของคนที่จะถูกเขาขับรถชนวันนี้กระนั้น

มองเจ้าของดอกไม้สีขาวเข้าชุดกันพอดีกับเสื้อผ้าของเจ้าตัวทรุดตัวลงนั่งก่อนจะทำตาม เว้นระยะห่างไว้พอให้เจ้าดอกไม้ช่อใหญ่ๆได้มีที่นอนแผ่หลาอย่างสบาย คนที่เป็นฝ่ายนั่งลงก่อนหันหน้ามามองอย่างแปลกใจ

“คุณ…ไม่ต้องรีบไปเหรอครับ”

ยองอุนหันไปยิ้มให้ “แล้วคุณไม่ต้องรีบไปไหนเหรอครับ”

คำถามที่ย้อนกลับมาทำให้คนฟังหัวเราะเบาๆ เสียงนุ่มที่ยองอุนคิดว่าฟังแล้วก็เพลินหูดีตอบกลับมา “ผมพักอยู่แถวนี้ แถมของที่จะเอาไปขายเขาก็เสียไปแล้วจะต้องรีบไปไหนล่ะครับ อ๊ะ…แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ” คนร่างเล็กรีบต่อคำพูดของตนทันทีราวกับกลัวว่าจะทำให้คนฟังแปลความหมายผิดเพี้ยนไป “…ผมไม่ได้จะต่อว่าคุณที่ทำให้ดอกไม้พวกนี้ขายไม่ได้หรือว่าเสียหายอะไร”

“ทั้งที่ความจริงคุณควรจะว่าผมนะครับ” ตอบด้วยรอยยิ้มบาง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะความจริงแล้วดอกไม้พวกนี้ก็เป็นของคุณยายของผมทั้งนั้น ท่านทำไร่ดอกไม้อยู่แถวนี้พอดี พอดอกไม้ออกดอกก็จะตัดมาขาย ได้เงินมาไม่เท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ทำให้ต้องเดือดร้อนอะไร ความจริงแล้วท่านออกจะมีเงินทองพอให้ใช้สอยจนสบายด้วยซ้ำ”

น้ำเสียงที่บอกเล่าเรื่องราวดูเปี่ยมสุขเสียจนคนฟังอดยิ้มตามไปไม่ได้ ครอบครัวอบอุ่นที่เขาถวิลหา ทำไมคนตรงหน้าถึงได้โชคดีนักนะ…

“ถ้าอย่างนั้นถ้าผมจะขอเหมาดอกไม้ของคุณวันนี้ทั้งหมดเลย…จะว่าอะไรไหมครับ”

เจ้าของดอกไม้ที่อันที่จริงควรจะใช้คำว่า ‘หลานเจ้าของดอกไม้’ หันขวับมามอง “ที่เล่าให้ฟังนี่ไม่ใช่เพราะอยากได้เงินของคุณนะครับ ดูท่าทาง…คุณจะมาจากโซลใช่ไหม”

คนตัวเล็กเปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อๆ ยองอุนพยักหน้าตอบอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก

“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ เมื่อก่อนผมเรียนมัธยมแล้วก็มหาลัยที่โซลนะ ที่บ้านก็เป็นคนโซล แต่เพราะรู้ว่าที่โซลให้ความสำคัญกับเรื่องเงินแค่ไหน คุณยายของผมก็เลยหลบออกมาดื้อๆมาสร้างไร่ของท่านที่นี่ ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าเรื่องเงินทองเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกคน อย่างน้อยก็กับผม เพราะงั้นอย่าเลยดีกว่านะครับ”

ถ้อยคำปฏิเสธนุ่มนวลยากจะทัดทาน กระนั้นยองอุนก็ยังไม่เลิกตื๊อ “ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะครับ เห็นคุณเล่าเรื่องคุณยายก็เลยอยากจะช่วยเท่านั้น จะไม่รับเลยหรือครับ”

“ถ้าอยากจะช่วยจริงๆล่ะก็…ช่วยรับดอกไม้พวกนี้เอาไว้แทนได้ไหมครับ เงินที่คุณจะจ่ายน่ะ ผมคำนวณมันว่าครบถ้วนทั้งหมดจากคำขอโทษของคุณเรียบร้อยแล้วล่ะ”

“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

ยองอุนเอื้อมมือออกไปรับดอกไม้ช่อหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่กระดาษสีสวยประดับช่อ ไม่มีการจัดแต่งที่หรูหรา …ก็เป็นเพียงแค่ดอกไม้ธรรมดาที่สุดแสนจะจืดชืดซ้ำยังคลุกฝุ่นจนเปรอะไปทั่ว… หากเขากลับไม่รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย อาจบางทีเพราะรอยยิ้มจริงใจจากเจ้าของมือบางที่ส่งมันมาให้กระมัง คนที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อด้วยซ้ำไป

ความคิดอยากจะถามชื่อปลิวหายไปพร้อมกับสายลมอีกระรอกเมื่อดวงตาคมตวัดไปเห็นรอยแผลถลอกจางๆบนฝ่ามือของคนที่นั่งอยู่เคียงกัน เสียงทุ้มเอ่ยทันควัน

“คุณมีแผลนี่ครับ”

คนที่มือถลอกส่งยิ้มบางๆมาให้อย่างไม่คิดอะไรมากเช่นเดียวกับประโยคที่เอ่ยตอบ “ช่างมันเถอะครับ แผลแค่นี้ไกลหัวใจตั้งเยอะ ไม่เป็นไรหรอก”

ทั้งที่เจ้าของแผลปฏิเสธเช่นนั้นหากคนฟังกลับไม่คล้อยตาม “ได้ยังไงล่ะครับ เชื้อโรคมันมีเยอะแยะนะคุณ มันอาจจะเป็นแผลเล็กๆที่ทำให้คุณเป็นบาดทะยักในอนาคตก็ได้ รอผมตรงนี้นะ ผมว่าผมต้องมีพลาสเตอร์ยาอยู่ในรถแน่ๆ”

ยองอุนสั่งการเสร็จสรรพก่อนจะผุดลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปค้นหาของในรถยนต์ส่วนตัวของตน เจ้าของมือใหญ่ที่ถือขวดน้ำสะอาดพร้อมกับพลาสเตอร์เล็กๆไว้ดูจะลืมไปเสียสนิทแล้วว่าสาเหตุที่ตนต้องเดินทางมายังที่แห่งนี้คืออะไร

“มาแล้วครับ ไหนขอผมดูแผลหน่อยสิ” ว่าด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉงที่ลืมถามตัวเองไปเสียสนิทว่าจะต้องกระฉับกระเฉงไปเพื่ออะไรกับคนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงสิบนาทีเช่นนี้ และโดยที่ไม่ต้องรอคำอนุญาตจากคนที่ยังนั่งรออยู่ที่เดิม ยองอุนก็กลับฉวยมือข้างที่เห็นว่ามีแผลเป็นของอีกฝ่ายไปดูทันทีพลางปากก็บ่นไปด้วย

“ดูสิเนี่ย เริ่มจะแดงเสียแล้ว แผลมันคงอักเสบล่ะสิ ถ้าอย่างนั้นล้างแผลก่อนแล้วกันนะครับ แล้วค่อยปิดพลาสเตอร์ไว้ กลับไปบ้านคุณก็จัดการมันใหม่อีกทีแล้วกันนะ”

ว่าพลางเปิดขวดน้ำสะอาดก่อนจะรินน้ำลงชำระบาดแผลถลอกบนมือบาง ตามด้วยผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งดึงออกมาจากกระเป๋าสดๆร้อนๆ หากคราวนี้คนที่นั่งเงียบมานานกลับออกแรงจะขืนมือออก เรียกให้ดวงตาคมต้องเงยขึ้นมองอย่างฉงน

“อย่าเลยครับ นั่นมันผ้าเช็ดหน้าของคุณนะ”

ยองอุนยิ้ม “แล้วถ้าไม่ใช้ผ้าผมแล้วจะใช้ผ้าคุณเหรอครับ พนันกันก็ได้ว่าคุณไม่มีทางพกผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาด้วยหรอกจริงไหม”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดรอยเลือดให้ผมแบบนี้หรอกครับ แค่คำขอโทษของคุณก็ถือว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณทำมากพอแล้ว”

ถ้อยคำโน้มน้าวที่คงเคยใช้ได้ผลเสมอกับทุกๆคนมีอันต้องเป็นหม้ายไปเมื่อยองอุนโปะผ้าลงบนรอยชื้นของน้ำอย่างไม่สนใจพร้อมเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าอยู่แล้ว”

ไม่นานหลังจากนั้น พลาสเตอร์ยาสีขาวดำพิมพ์ลายลูกหมาตัวเล็กน่ารักก็แปะหราอยู่บนฝ่ามือบางเป็นที่เรียบร้อย คนทำแผลคลายมือของอีกฝ่ายออกเป็นอิสระก่อนจะยกยิ้มให้หนึ่งที

“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว…”

“ขอบคุณนะครับ คุณนี่…เป็นคนดีจังนะ”

คำว่าคนดีอีกครั้งที่หลุดออกมาจากปากแดงๆนั้น ทว่า คราวนี้…คนดี…ที่ว่ากลับหัวเราะออกมาเบาๆขณะเอ่ยโต้กลับไป

“คุณชมผมว่าเป็นคนดีตั้งหลายครั้งแล้ว เพราะคุณยังไม่เคยรู้จักความเป็นคนไม่ดีในตัวผมต่างหาก”

คนร่างบางฟังคำพูดนั้นยิ้มๆก่อนจะผินหน้ากลับไปมองขอบฟ้าสีครามที่เบื้องหน้า “ไม่รู้เหมือนกันสิครับ อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่าก็ได้นะ แต่สำหรับผมแล้ว…ผมคิดว่าคนเราทุกคนต่างก็มีจิตใจที่ดีซ่อนอยู่เสมอนั่นล่ะ ความเป็นคนไม่ดีที่คุณว่าน่ะ มันก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่คุณสร้างมันขึ้นมาเท่านั้นเอง สร้างขึ้นมาเพื่อปิดบังความดีในตัวคุณไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมน่ะ…เชื่อในความดีเสมอนะ ก็ถ้าคุณไม่ใช่คนดีอย่างที่ผมพูดจริงๆน่ะ ไม่มีทางที่คุณจะมานั่งอยู่ตรงนี้ บอกขอโทษผม รับดอกไม้ของผมไว้ หรือทำแผลให้ผมหรอก จริงไหมครับ”

คำถามและรอยยิ้มที่แนบมาพร้อมกันเกือบทำให้คนมองสะดุดลมหายใจของตัวเอง คิมยองอุนไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก เที่ยวผู้หญิงมาก็นับครั้งไม่ถ้วนและไม่เคยมีความคิดอยู่ในสมองเลยว่าผู้ชายมีดีกว่าผู้หญิงที่ตรงไหน เพียงแต่วินาทีนี้ที่กำลังนั่งสบกับดวงตากลมหวานทอประกายความสุขนั้น กลับทำให้เขาลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปได้

สิ่งนี้…เขาเรียกว่าอะไรกันนะ ??

ไม่ได้ทันที่ยองอุนจะต่อคำ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังแหวกอากาศขึ้นมาเสียก่อน คนร่างบางพยักหน้าให้คนที่แสดงทีท่าขอตัวลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์

แม้ไม่ต้องดูชื่อที่หน้าจอก็รู้ว่าคนที่โทรมาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากคุณเจ้านายผู้ประเสริฐของเขาเอง ยองอุนกรอกเสียงลงไปอย่างเซ็งๆ

“ว่าไงครับคุณเพื่อน โทรมาทำอะไรไม่ทราบ”
…แหม ให้มันน้อยๆหน่อยเว้ยยองอุน ถามได้ว่าโทรมาทำอะไร ก็ถามเรื่องงานสิวะ เป็นไงที่ใช้ให้ไปดูน่ะ…
“สั่งเมื่อสองชั่วโมงก่อนจะเอาให้ได้ทันใจขนาดนั้นเลยหรือไง รีบไปไหนวะ”
…อ๋อ นี่แปลว่ายังไม่ได้ไปเห็นที่เลยล่ะสิ ใช่ไหมไอ้อ้วน…
“เออ กำลังจะไปเห็นเว้ย แล้วใครใช้ให้เรียกว่าอ้วนวะ”
…ไม่รู้ล่ะเว้ย ถ้าอีกชั่วโมงยังไม่โทรกลับมารายงานเรื่องที่นะ ไอ้เหล้าที่คุยกันไว้ก็เป็นอันยกเลิก เข้าใจรึเปล่า…
“เออๆ เข้าใจก็ได้วะ งั้นแค่นี้นะ จะได้รีบๆไปดูให้สมใจ”

นิ้วยาวกดตัดสายอย่างไม่ปราณีเท่าใดนัก นึกหัวเสียกับคนเป็นเพื่อนเสียเต็มที่ที่โทรมาเร่งงานในเวลานี้ทั้งที่ปกติก็ไม่เคยทำ และโดยที่ยังไม่ได้สอบถามตัวเองให้แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่าที่หัวเสียนั้นเป็นเพราะหงุดหงิดที่โดนเร่งงานหรือเพราะสาเหตุอื่นกันแน่ ยองอุนก็หมุนตัวกลับไปยังอีกฟากของถนนสายเล็กๆที่เขาเพิ่งเดินจากมาเมื่อไม่ถึงนาทีก่อน และเมื่อชายหนุ่มเดินมาจนถึงม้านั่งตัวเดิมอีกครั้งจึงได้เห็นว่าคนร่างบางในชุดขาวทั้งตัวส่งยิ้มรอท่าอยู่ก่อนแล้ว

“หมดเวลาอู้งานแล้วสินะครับ”

ยองอุนหัวเราะให้กับคำพูดนั้น “นี่หน้าตาผมมันฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอครับเนี่ย”

“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้าคุณได้มองกระจกตอนนี้ล่ะก็ คงจะได้เห็นเงาสะท้อนของเด็กผู้ชายตัวใหญ่ๆคนนึงที่กำลังขัดใจกับอะไรบางอย่างมองตอบกลับมาแน่ๆ”

รอยยิ้มบางกับคำพูดกวนเล็กๆไม่ได้ทำให้คนฟังโกรธปึงปังเหมือนอย่างที่ทำใส่เพื่อนตัวดีในสายโทรศัพท์เมื่อครู่ ซ้ำร้ายเขายังพลอยหัวเราะตามเสียงใสๆนั่นไปเสียอีก

“อย่างนั้นเหรอครับ ก็คงอย่างที่คุณว่านั่นแหละ ผมต้องไปทำงานแล้วล่ะ”

คนที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ตัวนั้น รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าหวานไม่คลายยามเมื่อเอ่ยคำอำลา “ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำงานเถอะครับ ผมคงทำให้คุณเสียเวลามามากแล้ว ถ้าโชคดีเราคงได้เจอกันอีกนะครับ”

“ผมก็หวังว่าอย่างนั้น ลาก่อนครับ” ตอบกลับไปทั้งที่ในใจลึกๆยังอยากจะนั่งคุยกับคนคนนี้ต่ออีกสักหน่อย คนที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจจนกระทั่งลืมต่อว่าต่อขานบรรยากาศชานเมืองที่เคยไม่ชอบไปได้สนิท

รอยยิ้มเป็นสิ่งที่ส่งมอบให้กันเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่คนตัวสูงจะเฝ้ามองแผ่นหลังบางในเสื้อสีขาวค่อยๆเคลื่อนห่างออกไปพร้อมกับจักรยานที่เพิ่งช่วยกันเก็บกู้ขึ้นมาจากข้างทาง มือหนาเปิดประตูรถยนต์ออกอีกครั้งและเตรียมจะบังคับพาหนะคันเก่งให้พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าสู่จุดหมาย หากทว่าเพิ่งออกรถไปได้ไม่เท่าไร เรื่องที่ปล่อยให้ปลิวหายไปกับสายลมได้พักหนึ่งก็กลับย้อนมาอีกครั้ง

จากเกียร์ D จึงถูกแทนที่ด้วยเกียร์ R นำพาให้ยานพาหนะคันใหญ่พุ่งถอยหลังแทนที่จะเดินหน้า ดวงตาคมจับจ้องอยู่กับกระจกส่องหลังด้วยความตั้งใจจวบจนกระทั่งกระจกเงานั้นสะท้อนภาพคนชุดขาวบนจักรยานในที่สุด ยองอุนกดสัญญาณแตรเบาๆเป็นการเรียก

รถทั้งสองคันหยุดลงเคียงกันยามเมื่อชายหนุ่มร่างสูงลดกระจกรถยนต์ฝั่งคนขับลงมาเพื่อพบกับใบหน้าเรียวหวานของคนที่เพิ่งแยกกันไปได้เพียงครู่ คนตัวบางบนจักรยานเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ

“ครับ มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าจะถอยมาคืนดอกไม้น่ะ บอกไว้ก่อนว่าผมไม่รับคืนนะ”

ยองอุนหัวเราะตามก่อนจะตอบ “ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเราคุยกันมาพักนึงแต่ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ผมคิมยองอุนนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

รอยยิ้มละไมที่มองแล้วเพลินตาเสียยิ่งกว่าท้องฟ้าใสๆที่เป็นฉากอยู่เบื้องหลังถูกส่งตอบกลับมาให้พร้อมกับเสียงนุ่มๆที่แม้ไม่ดังนัก หากยังคงติดตรึงมาจนถึงทุกวันนี้

“ผมชื่อจองซู ปาร์คจองซู…ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

********************************************************

แต่ก็คงจะหมุนย้อนได้แค่ในความคิด
ในชีวิตจริง คงไม่เจอกันอีกแล้ว
ยืนอยู่ตรงที่เดิม แต่ไม่มีวี่แวว
เธอจากไปแล้ว และคงไม่ย้อนคืนมาหา

ภาพความทรงจำแสนหวานพลันมลายหายสิ้นไปในทันทีที่เปลือกตาคมลืมขึ้นอีกครั้ง แทนที่ด้วยภาพท้องฟ้าสีหม่นท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายโอบล้อมรอบกาย

ทั้งที่ก็รู้ดีแก่ใจว่าวันนี้ เวลานี้ และบางทีอาจจะนับต่อจากนี้ไป จะไม่มีทางอีกแล้วที่คนที่เคยนั่งอยู่เคียงข้างกันจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง

เขา…ผู้ซึ่งกระทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย เขา…ผู้ซึ่งทำลายความเชื่อในความดีที่มีอยู่ในตัวทุกคนเสมอของคนที่เป็นความรักทั้งหมดลงไป

ยองอุนหันหน้าไปมองยังที่ว่างข้างกายที่เขาจงใจเว้นเอาไว้ ก็เป็นที่ว่างที่เว้นไว้เท่ากับเมื่อวันวาน…ที่ว่างที่เคยคิดว่าทำไมจึงได้ทำให้เห็นรอยยิ้มหวานชัดหนักหนาในวันนั้น กลับกลายเป็นที่ว่างที่เพิ่มพูนความรู้สึกเดียวดายในหัวใจได้มากล้นในวันนี้

อยากจะคิดเสียว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงตาที่สามารถจางหายไปได้ตลอดเวลาแค่เขากระพริบตาเพียงครั้ง หากแต่ความว่างเปล่ายามเมื่อมือหนาแหวกผ่านอากาศข้างกายเพื่อวางดอกไม้สีขาวดอกเล็กลงไปกลับเป็นเครื่องตอกย้ำให้เขารู้ ย้ำชัดเจนในหัวใจให้ได้ยินแม้จะไม่มีผู้ใดเปล่งเสียงพูดออกมาเลยก็ตาม

…จองซูจากเขาไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันจะได้กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว…

ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้
เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอตลอดมา

ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า…ฉันยังรักเธอ

ดอกไม้สีขาวที่เป็นตัวแทนของการพบเจอกันในครั้งแรกระหว่างเขาและจองซูยังคงวางนิ่งอยู่ตรงข้างกายตรงนั้นแม้ว่าคนที่เป็นผู้วางมันลงไปจะละสายตาออกมาจากกลีบบางสีขาวสะอ้านตานั่นแล้วก็ตาม

มาจนถึงวันนี้ที่ยองอุนตัดสินใจละทิ้งตึกสูงระฟ้ากลางกรุงโซลมาเพื่อรับอาสาบริหารรีสอร์ทของเพื่อนที่เขาคัดค้านความคิดแทบเป็นแทบตายในตอนแรกกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาเลือกให้กับชีวิตการทำงานของตัวเอง ชีวิตการทำงานที่ไม่ว่าใครก็มองว่าไม่เหมาะกับคิมยองอุนคนนี้เป็นที่สุด

…เหมือนกับสีขาวของผ้าพันคอที่ตัดกันกับสีดำของเสื้อโค้ตตัวใหญ่ที่เขากำลังสวมใส่มันอยู่ ณ ตอนนี้…

และแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าไร่ดอกไม้ของคุณยายที่จองซูเคยพูดถึงนั้นตั้งอยู่ที่ใด แต่เขาก็รู้ดีอีกเช่นกันว่าต่อให้ดั้นด้นไปเฝ้ารอคอยอยู่ที่นั่นเนิ่นนานสักเพียงใด คนที่เขาอยากพบหน้าหนักหนาก็จะไม่มีวันเดินออกมาหาเหมือนนิยายรักโรแมนติกอย่างแน่นอน ดังนั้น สิ่งเดียวที่ยองอุนทำได้จึงมีเพียงแค่การเดินมานั่งพักสมองจากการทำงานที่นี่เสมอทุกวันพร้อมกับดอกไม้สีขาวในมือดอกเล็กๆที่แม้ว่าอาจจะถูกลมหอบหายไปในทุกวัน หากมันก็ยังคงมีดอกใหม่มาทดแทนในวันต่อๆไป

ทดแทน…ให้กับความระลึกนึกถึงที่เขามีให้แก่จองซูอยู่เสมอ ทุกเวลานาทีแม้ว่าจองซูจะไม่อยู่กับเขาแล้วก็ตาม

ด้วยความหวังในใจ หวัง…แค่สักนิดว่าอาจจะมีวันใดที่โชคดีที่อาจจะได้พบเจอกันอีกครั้ง

ตอนนี้พี่จะอยู่ที่ไหนนะจองซู ?? จะตั้งใจลืมผมไปเลยจริงๆอย่างนั้นหรือเปล่า ??
พี่จะรู้บ้างไหมว่าหัวใจของผมที่พี่มองไม่เห็นค่าของมันอีกต่อไปแล้วมันยังคิดถึงพี่มากมายขนาดไหน ยัง…รัก…เพียงแต่พี่มากมายสักเท่าไร ??

อยากเจอเธอเหลือเกิน
เพราะก่อนที่เราต้องเดินแยกทาง
ฉันมีความคิดหลายๆอย่าง
หลายอย่างเหลือเกินที่ฉันไม่ได้พูดไป

หลังจากวันที่ยองอุนได้พบกับจองซูในวันนั้นก็ยังมีเรื่องให้เขาต้องแวะเวียนกลับไปยังที่ดินแถบชานเมืองที่กำลังจะถูกสร้างเป็นรีสอร์ทนั้นอยู่เสมอไม่ว่าจะแวะเวียนไปโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ดังนั้น โอกาสที่ยองอุนจะได้พบกับจองซูจึงมีบ่อยเสียยิ่งกว่าโอกาสที่ยองอุนจะปลีกเวลาไปเยี่ยมเยียนเพื่อนๆที่ผับประจำซึ่งเขาเคยเดินเข้าออกไม่เว้นคืน

การที่ได้เจอหน้ากันทุกวันนั้น แม้ว่าจะมั่นใจอย่างยิ่งว่าไม่ได้ทำให้ยองอุนเปลี่ยนมุมมองของตนว่าผู้ชายดีกว่าผู้หญิง แต่ก็เพราะรอยยิ้มอ่อนที่ได้รับเสมอยามที่ได้พบหน้าหรือเพราะกระแสเสียงนุ่มนวลที่ได้ฟังทุกครั้งยามเมื่อสนทนากัน กลับทำให้ยองอุนรู้สึกว่าแม้ว่าผู้ชายอาจจะไม่มีอะไรดีกว่าผู้หญิงก็จริงอยู่ แต่ปาร์คจองซูคนนี้กลับไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆตามความคิดของชายหนุ่มเลย

เขา…คงจะเริ่มหลงรักรอยยิ้มสวยนั่นเข้าเสียแล้วกระมัง

.
.
.

“จองซู…ผม เวลาที่ผมอยู่กับพี่…จริงๆนะ ผมรู้สึกว่ามันสบายใจจนแทบจะไม่อยากจากไปไหนเลย” คำพูดแฝงด้วยความนัยที่ไม่ได้ตั้งใจให้หลุดออกจากปาก ท้ายที่สุดก็หมดความสามารถในการควบคุมให้มันดังอยู่แต่ภายในใจเงียบๆเท่านั้น ยองอุนพลั้งพูดออกไปแทรกบทสนทนาโดยไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของคนฟังเสียด้วยซ้ำ

“…”
“…”

เงียบงันกันไปครู่หนึ่งจนชายหนุ่มนึกอยากจะตบปากตัวเองที่ทำเสียเรื่อง หากเสียงหวานของคนข้างกายก็กลับดังขึ้นในตอนท้าย

“งั้นเหรอ…” ท้ายเสียงทอดอ่อนจนคนฟังยิ่งใจเสีย หากเพียงแค่คนร่างสูงจะมีความกล้าที่จะหันกลับไปมองสักนิด ก็คงจะได้เห็นว่านวลแก้มของอีกฝ่ายนั้นจับสีเรื่อเพียงใด

“…ถ้าอย่างนั้นก็…ไม่ต้องไปไหนสิ”

“”อืม ไม่ไป” น้ำเสียงเหงาหงอยเพราะคิดว่าคงถูกปฏิเสธพูดทวนอย่างไร้สติ หากแต่เมื่อสมองประมวลผลได้เรียบร้อย ใบหน้าคร้ามคมจึงได้สะบัดไปมองคนที่นั่งยิ้มสบายๆรับสายลมเย็นอยู่เคียงกันในทันที “พี่…พูดว่าอะไรนะ พี่หมายความว่าไง”

“แล้วนายตั้งใจจะหมายความว่าอะไรล่ะ”

.
.
.

บทสนทนาที่มีเพียงแค่ไม่กี่ประโยคกลับกลายเป็นเครื่องแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ของทั้งยองอุนและจองซูไปมากมายนับจากวันนั้น สายสัมพันธ์ที่ค่อยถักทอขึ้น คงจะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกันโดยบังเอิญนั้นได้ร้อยรัดให้คนทั้งคู่ผูกพันกันมากขึ้นทุกที ความผูกพันที่มีมากเสียจนปาร์คจองซูยอมรับคำต่อว่าจากที่บ้านเพื่อจะย้ายเข้ามาอยู่ในโซลกับคิมยองอุน

บ่ายวันหนึ่งของฤดูหนาว…

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ดึงให้คนตัวใหญ่จอมเกียจคร้านที่ยึดเอาตักของคนตัวเล็กกว่าจำต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ ชื่อและเบอร์ที่โชว์หราอยู่ตรงหน้าจอทำให้จองซูลอบยิ้มขณะเอ่ย

“เพื่อนที่วงเหล้าของนายไม่ใช่เหรอยองอุน สงสัยวันนี้พี่คงต้องกินข้าวเย็นคนเดียวแล้วล่ะมั้ง”

ยองอุนหัวเราะชอบใจในคำพูดแกมประชดของคนที่ดูจากท่าทางภายนอกแล้วเหมือนจะไม่คิดอะไรมากนั้น มือใหญ่ละเลยที่จะกดรับสายเพราะที่วางของมันก็คือรอบเอวบางของคนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาวด้วยท่วงท่าราวกับไม่ได้มีเรื่องใดให้ตนต้องสนใจมากไปกว่ารายการทีวีที่ดูค้างอยู่

เสียงทุ้มออดอ้อนไม่ดังนักขณะเอนตัวไปพิงคนที่แอบน้อยใจเงียบๆเอาไว้ “อะไรกัน ใครบอกพี่หรือไงว่าผมเห็นว่าเจ้าเพื่อนสำมะเลเทเมาพวกนั้นสำคัญกว่าพี่น่ะ วันนี้วันสำคัญของเรา ผมจะกล้าปล่อยให้พี่นั่งกินข้าวคนเดียวได้ยังไง”

วันสำคัญของเรา…วันครบรอบวันที่เราได้พบกันเป็นครั้งแรก

มองตามท่าทางขี้อ้อนที่ไม่เหมาะสมกับขนาดตัว คนที่ตั้งใจจะวางมาดขรึมก็กลับส่งเสียงหัวเราะออกมาจนได้ จองซูยอมเอ่ยตอบกลับไป “โอเค…โอเค…พี่สำคัญกว่าก็สำคัญกว่า แต่นายก็โทรกลับไปหาเพื่อนหน่อยสิ คุยกันให้รู้เรื่อง เงียบไปแบบนี้เดี๋ยวเค้าก็เป็นห่วงกัน”

“พี่ไม่โกรธแล้วใช่ไหม งั้นพี่รอผมแป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมโทรกลับไปเคลียร์กับเจ้าพวกนั้นก่อน อย่างนี้มันต้องด่าสักหน่อยแล้ว โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลย” แสร้งบ่นพึมพำเรียกรอยยิ้มจากคนอายุมากกว่าได้นิดหน่อยก่อนจะกดโทรกลับไปหาเพื่อน

“เออ…ว่าไง โทรมามีอะไรด่วน”
…โห เพิ่งรู้ว่าถ้าไม่เร่งด่วนเดี๋ยวนี้จะโทรหาไม่ได้แล้วนะอ้วน…
“ให้มันน้อยๆหน่อย ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าจะเมาก็ไม่ต้องโทรมาชวน ไม่ไปเว้ย”
…แหม พอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนล่ะเป็นคนดีขึ้นมาเลยนะ ขอโทษทีเหอะที่ต้องทำให้กลับมาเป็นคนเลวอีกครั้งน่ะ แต่วันนี้มีฉลองดงซอนจะสละโสดว่ะ มาหน่อยไม่ได้หรือไง…
“ให้เวลาตั้งนานไม่สละ มาวันนี้จะสละ แต่ก็คงไปไม่ได้หรอกว่ะ ฝากขอโทษดงซอนด้วยนะ”
…เฮ้ย พูดง่ายๆแบบนั้นได้ไงล่ะ เพื่อนสนิทนะเว้ยที่จะแต่งงานน่ะ ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ทำไมวะ พี่จองซูเค้าไม่อนุญาตให้มาเหรอ…
“ก็ไม่ใช่…”
…เออ งั้นก็มาหน่อยเหอะ สักแป๊บก็ยังดี มาอวยพรเพื่อนมันหน่อย…
“เฮ้อ…เออ ก็ได้วะ แต่แค่ชั่วโมงเดียวนะเว้ย วันนี้มีนัดกับพี่จองซูด้วย กี่โมงว่ามา”

ยื่นเวลาพร้อมสถานที่นัดเสร็จสรรพนิ้วยาวจึงกดตัดสายทิ้งไปด้วยสีหน้าแห้งเหี่ยวกว่าเดิม ก็จากที่ตั้งใจจะโทรไปปฏิเสธกลับกลายเป็นการตอบรับเสียได้ จองซูมองท่าทางแบบนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา

“เป็นอะไรไป ทำหน้าตาแบบนั้น ไม่ดีใจหรือไงที่เพื่อนโทรมานัดน่ะ”

“ก็…ผมไม่อยากไปเท่าไหร่ เจ้าพวกนี้มันชอบชวนเมาจนเช้า เข้าแล้วออกยาก” สีหน้าแหยๆถูกส่งมาให้คนฟังได้หัวเราะเล่น

“ไปนั่นแหละดีแล้ว เพื่อนจะแต่งงานแล้วไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวพี่รอกินข้าวเย็นด้วยกัน มื้อค่ำก็ได้ นัดเพื่อนไว้กี่โมงล่ะ”

“ก็…ทุ่มนึง งั้นพี่รอผมไม่เกินสามทุ่มผมจะกลับมาหา โอเค๊…” ยื่นนิ้วก้อยมาให้เป็นการสัญญาเสียอีก

จองซูยกนิ้วเล็กๆขึ้นเกี่ยวตอบ “โอเค พี่จะรอ งั้นก็ไปแต่งตัวเถอะไป นี่ก็จะหกโมงแล้ว จะได้รีบไปรีบกลับ”

คนตัวสูงกว่าพยักหน้ารับก่อนจะโฉบปลายจมูกมาแตะแก้มเนียนด้วยความไวเกินจะหลบทัน เสียงทุ้มพูดรัวทิ้งท้ายไว้แล้วผลุบหายเข้าห้องนอนไป ทิ้งคนที่ถูกขโมยหอมแก้มให้นั่งหน้าแดงอยู่ที่เดิม

“ครับผม งั้นพี่ต้องอย่าลืมรอผมนะ วันนี้ผมมีเรื่องจะเซอร์ไพรส์พี่ด้วยรู้ไหม”

ผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วโมง…

แก้วเหล้าที่คิดว่าจะไม่แตะอีกแล้วนับตั้งแต่ที่จองซูเคยออกปากกับเขาว่าไม่ชอบกลิ่นเหล้ากลับมาพร่องลงในมือหนาอีกครั้ง เสียงหัวเราะสรวลเสตามประสาผู้ชายทั้งกลุ่มดังขึ้นที่มุมหนึ่งของผับที่อึกทึกไปด้วยเสียงดนตรี

ยองอุนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง เพ่งผ่านความมืดจึงได้พบว่าขณะนี้เลยเวลาสองทุ่มมาได้พักหนึ่งแล้ว ใบหน้าคมเงยขึ้นมองบรรดาเพื่อนฝูงในวงสนทนาอีกครั้ง ท่ามกลางสายตารู้ทันจากทุกคนที่นั่งอยู่ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น “เฮ้ย คงต้องกลับแล้วว่ะ มึนๆอย่างนี้จะขับรถคงต้องใช้เวลากันหน่อย”

“เฮ้ย…จะรีบกลับไปไหนล่ะ อยู่ต่ออีกนิดนึงสิ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เพื่อนจะแต่งงานทั้งที มาอวยพรแค่นี้แล้วก็จะไปเหรอว้า…”

เป็นไปตามคาดที่จะต้องมีใครขัดคอไม่ยอมให้กลับ แต่ยองอุนก็ไม่ยอมง่ายๆเช่นกัน ร่างสูงโต้กลับ “เงียบปากไปเลยดีกว่ายองมิน เจ้าของงานแต่งงานยังไม่ว่าสักคำ”

“แต่ยองมินก็พูดถูกนะ ฉันว่าอย่าเพิ่งกลับเลย อยู่อีกนิดไม่ได้เหรอวะ” คราวนี้เป็นเจ้าของงานแต่งเรียกร้องเอง คนฟังจึงได้แต่น้ำท่วมปาก จำต้องยอมนั่งเงียบๆแล้วดื่มกินกันต่อไป

หลังจากนั้น ยองอุนก็ยังคงถูกล็อกตัวให้นั่งอยู่ที่เดิมอยู่นั่นเองแม้ว่าจะเลยเวลานัดที่ได้ตกลงกับจองซูไปนานแล้วก็ตาม หากแต่เมื่อคนแสดงเจตนาจะขอกลับเป็นดงซอนเจ้าของงานแต่งงาน เพื่อนทั้งกลุ่มกลับอนุมัติกันด้วยมติที่เป็นเอกฉันท์ ปล่อยตัวให้เป็นอิสระไปได้ท่ามกลางความสงสัยแกมโมโหของยองอุนที่พยายามจะขอลุกตามออกไป แต่เมื่อหางตาคมเหลือบไปเห็นสาวๆที่เขาจำได้ว่าเคยมานั่งดื่มกับเพื่อนกลุ่มนี้เดินตรงมาจึงได้เขาใจ

ใบหน้าคมหันไปหาเพื่อนที่ยังเหลืออยู่ “อ้อ…สรุปว่าที่กักตัวไว้นี่เพราะสาเหตุนี้ใช่ไหม”

“เฮ้อ…เพื่อนเราเว้ย เพิ่งจะฉลาดว่ะ ฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวงสร้างอารมณ์ฉุนเฉียวได้ไม่ยาก

“เออ งั้นขอโง่จนถึงวินาทีที่แล้วพอ เพราะฉันจะกลับแล้วเว้ย” ว่าพลางยันตัวขึ้นจากเก้าอี้บุนวมนิ่มที่ยึดครองมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าเดินจากไป เสียงหวานใสของหญิงสาวที่จำได้ดีก็ดังขึ้นเสียก่อน

“อ้าว วันนี้ยองอุนยอมออกมาด้วยเหรอ แล้วนี่อะไรกัน พอพี่มาก็จะกลับเลยหรือไง”

“รุ่นพี่…”

จองซูเงยหน้ามองนาฬิกาติดผนังเป็นรอบที่เกือบร้อย แม้ว่าเขาจะนัดเวลา “มื้อค่ำ” ของเขากับยองอุนไว้ตอนสามทุ่มแล้วเลทให้ถึงสี่ทุ่มก็ตาม แต่เข็มนาฬิกาที่เห็นอยู่ตอนนี้นั้น เข็มยาวของมันแทบจะจรดอยู่ตรงเลขสิบสองพร้อมกับที่เข็มสั้นวนไปจนถึงเลขสิบเอ็ดแล้ว

…ห้าทุ่ม…

เลทไปสองชั่วโมง…

มือบางฉวยเอาถุงกระดาษใบเล็กที่วางไว้ข้างกายมาเปิดออกดู ผ้าพันคอสีขาวนอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น ผ้าผืนที่เขาตั้งใจออกไปหาซื้อมาให้ยองอุนและซ่อนเอาไว้เสียนาน ทั้งที่คิดว่าวันนี้ควรจะเป็นวันที่ได้มอบมันให้กับคนที่เคยบอกว่าไม่ชอบสีขาวจริงๆคนนั้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าผ้าพันคอผืนนี้คงไม่ได้ถูกส่งให้ด้วยรอยยิ้มสดใสอีกแล้วละมัง เพราะตอนนี้จองซูเริ่มจะเป็นห่วงระคนหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้วกับโทรศัพท์มือถือที่ดูจะติดต่อไม่ได้สักทีของอีกคน

ดังนั้น หลังจากที่อดทนรออยู่ได้พักใหญ่ คนร่างบางจึงได้ตัดสินใจกดโทรออกไปหาเบอร์ของเพื่อนคนที่ยองอุนพูดชื่อเมื่อตอนเย็น

…คิมดงซอน…

รอเพียงไม่นานนัก ปลายสายก็กดรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อมที่บอกได้ว่าเจ้าเด็กคนนี้คงสร่างเมานานแล้ว

…ครับ พี่จองซู…
“ดงซอนอา…นายยังอยู่กับเพื่อนๆหรือเปล่า”
…อ่อ เปล่าครับพี่ ผมขอแยกออกมาพักนึงแล้ว ไอ้ยองอุนยังไม่กลับมาเหรอครับ…
“ก็…อื้อ พี่เห็นว่าเลยเวลามานานแล้วเลยเป็นห่วงน่ะ แต่ถ้านายไม่ได้อยู่กับเพื่อนก็ไม่เป็นไร พี่ไม่รบกวนนายแล้วดีกว่า”
…ครับ ครับ เอ่อพี่จองซู ผมว่าผมบอกผับที่เจ้าพวกนั้นอยู่ให้พี่ตามไปเลยดีกว่า เผื่อเจ้าพวกบ้านั่นจะเล่นพิเรนทร์ๆจนยองอุนมันเมาแอ๋กลับบ้านไม่ได้…
“อา…อย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นก็ได้ เค้าอยู่ที่ไหนกันล่ะ…”

ต่างคนต่างก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปคนละทางเมื่อข้างกายของตัวเองมีผู้หญิงให้คุยเล่นเป็นเพื่อนแล้ว จะเหลือก็แต่ยองอุนกับหญิงสาวผมยาวเจ้าของนัยน์ตาทอประกายสุกใสที่ยองอุนเคยชอบนักก่อนที่จะได้รู้จักกับจองซูเท่านั้น

ความเงียบงันลอยตัวคว้างระหว่างคนทั้งคู่เมื่อชายหนุ่มร่างสูงหวนรำลึกถึงอดีตที่เคยมีร่วมกับรุ่นพี่หน้าหวานคนนี้ คำว่า “แฟน” จากเพื่อนๆในกลุ่ม ดูจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้เพื่อนิยามความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองในช่วงเวลานั้น หากแต่ก็กลับมีเรื่องที่ทำให้หญิงสาวจำต้องตีจากเขาไปโดยไม่มีคำอำลาหรืออธิบายให้เข้าใจ เป็นการจบความสัมพันธ์ที่แย่จนยองอุนไม่อยากจะคิดถึงมันอีก

แต่วันนี้ จู่ๆรุ่นพี่ที่เคยเป็นมากกว่าพี่น้องกลับปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันเร็ว…จนยองอุนไม่ทันได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าเลย

ความเงียบที่โรยตัวอยู่ท่ามกลางคนทั้งสองคงอยู่ได้ไม่นานนักเมื่อหญิงสาวเป็นฝ่ายทำลายมันลงในที่สุด “พี่…อยากจะขอโทษยองอุนกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น พี่…”

“ช่างมันเถอะครับ” เสียงทุ้มพูดตัดบทไปก่อนที่นัยน์ตาคมจะจ้องมองตอบกลับอีกฝ่ายอย่างมั่นคงและแน่วแน่ “มันก็แค่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้รุ่นพี่ก็มีคนที่รัก ผมเองก็ไม่ใช่คนโสดที่ต้องมานั่งเศร้าเสียใจเหมือนเมื่อตอนนั้น”

“หมายความว่ายองอุนมีแฟนแล้ว ??” เธอยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่ชายหนุ่มร่างสูงต้องการ น้ำเสียงที่ถามดูเย้าแหย่และชวนให้ผ่อนคลายมากขึ้นในทีเมื่อบทสนทนาไม่ใช่เรื่องที่ชวนเครียดอีกต่อไป

ใบหน้าคมวาดรอยยิ้มเมื่อนึกไปถึงภาพของแฟนที่รุ่นพี่ถามถึง “ครับ มีแล้ว… แฟนของผมเป็นคนน่ารัก แถมชอบทำใจกว้างอย่างกับทะเลทั้งที่ในใจน่ะโกรธแทบแย่”

“ดูหน้าตายองอุนตอนพูดถึงแฟนจะมีความสุขมากเลยนะ รักกันมากล่ะสิ”

“รักมาก…ใช่ครับ”

“แล้วถ้างั้นทำไมวันนี้ยอมออกมาได้ล่ะ พี่ได้ยินว่าหลังจากที่ยองอุนคบกับแฟนคนนี้แล้วก็ไม่ได้ออกมาเที่ยวอีกเลยไม่ใช่เหรอ” เธอถามพลางยกแก้วคอกเทลสีสวยขึ้นจิบ

“ก็เจ้าพวกนั้นมันจะมาฉลองให้ดงซอนแล้วก็ชวนผมมา ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เพราะกับดงซอนแล้วก็เจ้าพวกนั้นก็สนิทกันมานาน”

“อืม อย่างนี้นี่เอง นี่คงจะอยากกลับไปหาแฟนแทบขาดใจแล้วสิ”

ยองอุนหัวเราะ “ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าผมไปตอนนี้จริงรุ่นพี่ก็ต้องนั่งอยู่คนเดียวใช่ไหมล่ะครับ”

เสียงใสหัวเราะตามไปด้วย “แหม เป็นคนดีจริงๆนะ แล้วนี่โทรไปบอกแฟนแล้วรึยังล่ะว่ายังกลับไม่ได้เพราะอะไร เดี๋ยวเค้าก็เป็นห่วงแย่”

“โทรได้ก็ดีสิครับ เจ้าพวกนั้นเล่นยึดมือถือผมไปชำแหละแล้วมั้งนั่นน่ะ ป่านนี้ไม่รู้รอเซอร์ไพรส์ของผมจนหลับไปรึยัง” ประโยคสุดท้ายบ่นไม่เต็มเสียงนักก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นจรดปาก

หญิงสาวข้างกายแสดงอาการล้อเลียนทันทีที่ได้ยินคำว่าเซอร์ไพรส์จากรุ่นน้องตัวสูง “เซอร์ไพรส์อะไรกัน ไหนเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม”

ดวงตาคมเหลือบมองก่อนจะเผยยิ้ม “ก็…แค่จะขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไปเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรพิเศษขนาดนั้นหรอกครับ”

“ว้าว…ไม่พิเศษได้ยังไงยองอุน นี่ถ้าตามความเข้าใจของพี่มันเรียกว่าขอแต่งงานนะ เรื่องใหญ่มากๆเลยด้วย ยองอุนได้ลองปรึกษาใครรึยัง แล้วลองซ้อมพูดบ้างรึยัง”

คนฟังหัวเราะร่วนกับท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กๆของรุ่นพี่หน้าสวย “ไม่เห็นจะต้องซ้อมเลยนี่ครับ”

“ได้ยังไงล่ะ ของแบบนี้มันพลาดกันไม่ได้นะ พูดได้ก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้นด้วย ไหนๆๆ ไหนลองซ้อมพูดกับพี่ก่อนซิ ให้พี่ช่วยเช็คความเรียบร้อยให้ก่อน”

ชายหนุ่มมองทีท่าอาการอยากรู้นั้นแล้วก็ให้หลุดขำ “อยากรู้จริงๆเหรอครับรุ่นพี่”

“เอ๊…อยากรู้สิถึงได้เซ้าซี้อยู่นี่ไง เร็วเข้าสิยองอุน พอพูดกับพี่จบแล้วพี่จะไปเอามือถือมาให้แล้วแถมส่งยองอุนออกจากร้านไปหาแฟนให้เลย เร็วๆสิ เอาให้เหมือนเลยนะ ซ้อมใหญ่ๆ”

“ครับ ถ้างั้นก็ได้” เสียงกลั้วหัวเราะที่เจืออยู่ในคำตอบรับมลายหายไปในทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของดวงตาคมดุเอื้อมมือออกไปวางทับลงบนหลังมือเรียวของคนที่นั่งอยู่ข้างกันแผ่วเบา เสียงทุ้มยามเอื้อนเอ่ยมีจังหวะจะโคลน น่าฟังเป็นยิ่งนัก

“พี่ครับ…ผมไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่เราคบกันมามันจะทำให้พี่รู้สึกมีความสุขได้เท่ากับที่ผมรู้สึกไหม แต่สำหรับผมแล้ว นอกจากจะต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้มาพบกัน ก็คงจะต้องขอบคุณพี่ที่ยอมตกลงจะคบกับผมในวันนั้น ผมมีความสุขมากๆเสมอเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆกับพี่ และผมก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นตลอดไป พี่…จะช่วยอยู่ข้างผมไปจนกว่าจะถึงวันที่เราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตายจากกันไป…จะได้ไหมครับ”

ความเงียบงันลอยตัวคว้างระหว่างคนพูดและคนฟัง ถ้อยคำเปี่ยมความหมายที่กลั่นกรองออกมาจากใจดังผ่านริมฝีปากหวังให้คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าช่วยฟังให้ก่อนที่จะกลับไปพูดให้คนที่ตนรักที่สุดได้ฟัง หากแต่ความเงียบนั้นก็กลับถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงนุ่มแสนคุ้นเคยที่แม้ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ หากแต่ก้องอยู่ทุกอณูของคนที่ได้ยิน

“ยองอุน…”

เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาจากด้านหลังบาร์ที่เขาและรุ่นพี่สาวเลือกมานั่งคุยกันเรียกให้สายตาของเจ้าของชื่อหันไปตามทิศทางของเสียงแล้วก็ต้องพบกับร่างบอบบางของคนที่น่าจะรอเขาอยู่ที่บ้านยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตามด้วยใบหน้าจืดเจื่อนของบรรดาเพื่อนพ้องที่ติดตามมาข้างหลังอีกทอดหนึ่ง

ยองอุนผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทรงสูงเช่นเดียวกับหญิงสาวที่เฝ้ารบเร้าจะฟังคำขอแต่งงานของเขาเมื่อครู่ เสียงทุ้มเสียงเดียวกันเปล่งเรียกชื่อเจ้าของเรือนร่างบอบบางในชุดที่ไม่ได้กันลมหนาวจากภายนอกได้สักเท่าไรตรงหน้า สะดุดราวกับเป็นคนละเสียงกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

“พี่…จองซู”

“พี่รีบออกมาเพราะกลัวว่านายจะเมาไม่รู้เรื่อง ว่าจะมาพากลับไปด้วยกัน” เสียงนุ่มเอ่ยจุดประสงค์ของตัวเองแจ้งชัดแก่คนที่ยืนนิ่งอึ้งไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาตอบได้ในตอนนี้

แววตาหวานที่ทอประกายความอบอุ่นอยู่เสมอยามได้มองสบตาแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาที่ลึกเกินจะหยั่ง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของน้ำตาที่จะแสดงออกถึงความเสียใจ หากกระนั้น คิมยองอุนกลับตระหนักได้ ปาร์คจองซูได้ยินทุกคำพูดของเขาและได้เห็นทุกการกระทำ และคงจะเสียใจ…เสียใจเป็นที่สุด

“แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมาขัดจังหวะการขอแต่งงานของนาย…กับคุณผู้หญิงแสนสวยคนนี้” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยต่อราวกับหัวใจทั้งดวงไม่มีความรู้สึกใด ซ้ำยังหันไปก้มศีรษะให้กับรุ่นพี่ที่ยืนอึ้งไม่ต่างไปจากยองอุนเสียอีก “พี่ขอโทษที่มาขัดนะ…”

“จองซูอา…พี่กำลังเข้าใจผมผิด” น้ำเสียงเหนื่อยล้าไม่รู้จะจับต้นชนปลายอธิบายตรงไหนก่อนดังขึ้นจากยองอุนในที่สุด หากแต่มัน…เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่อเสียงที่ตอบกลับมามีเพียงแค่

“พี่ขออวยพรให้นายโชคดี มีความสุขอย่างที่นายอยากจะมีตลอดไปนะ…”

รวบรัดคำอวยพรเสร็จสรรพคนร่างบางก็หมุนตัวกลับแล้วก้าวเดินออกจากที่ตรงนั้นไปโดยไม่มีใครแม้สักคนกล้าก้าวเท้าออกมาขวางทางไว้ และก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะคลาดสายตาไป ยองอุนก็รุดเดินตามออกไปโดยไม่ทันได้ฟังแม้แต่คำขอโทษของใครต่อใครที่ดังขึ้นรอบกายเลยสักคน

สายตาคมไล่ไปตามทางเท้าที่ตัดผ่านหน้าผับได้พักหนึ่ง แผ่นหลังของคนที่เดินหนีออกมาก่อนก็ปรากฏสู่สายตา ขายาวก้าวเร็วๆตามหลังไปจนกระทั่งประชิดร่างบอบบางของคนรักพร้อมกับที่รวบคนตัวเล็กกว่าในชุดบางแสนบางนั้นไว้ในอ้อมแขน

“จองซู…อย่าเดินหนีผมไปแบบนี้เลย ฟังกันก่อนเถอะนะ”

“ปล่อยพี่เถอะยองอุน” น้ำเสียงมั่นคงดุจเดิมดังขึ้นจากคนในอ้อมกอดพร้อมแรงขืนตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“พี่ใส่เสื้อก็บางเท่านี้ ไม่หนาวหรือไงกัน” พยายามจะดึงเอาความห่วงใยที่มีเป็นเครื่องรั้งให้คนตัวเล็กกว่าใจอ่อน หากก็คงจะไม่เป็นผลเมื่อจองซูสะบัดตัวหลุดออกจากพันธนาการนั้นได้ เจ้าของใบหน้าหวานที่แสนรักหันกลับมาประจันหน้ากันอีกครั้งด้วยแววตาไร้ความรู้สึกเช่นเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน

“พี่นั่งรอนายที่บ้านอยู่สองชั่วโมงแล้วและก็กลัวว่านายจะกลับบ้านไม่ไหวถึงได้ออกมา หนาวแค่นี้จะทำอะไรพี่ได้ แต่พอมาถึงที่นี่ ได้มาฟังคำพูดของนายเมื่อกี้ถึงได้รู้… ว่าการที่พี่ทนหนาวออกมาตามหานายถึงข้างนอกมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”

“จองซู…มันไม่ใช่แบบที่พี่คิดเลยนะ” คำแก้ต่างลุ่มๆดอนๆที่เขาเคยด่าว่าพระเอกนางเอกในละครนักหนากลับเป็นสิ่งที่ยองอุนเลือกจะนำออกมาใช้เมื่อเกิดเรื่องทำนองเดียวกันขึ้นกับตัวเอง แต่กับแค่คำว่าไม่ใช่อย่างที่คิดมันก็ไม่ได้มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเปลี่ยนแววตาเยียบเย็นยิ่งกว่าอากาศหนาวยามดึกของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้เลย

“อย่างนั้นเหรอ…แต่พี่ก็มีความจริงจะบอกให้นายรู้เหมือนกันนะยองอุน พี่ได้รับคำชวนจากที่บ้านมาพักนึงแล้วว่าให้ไปเรียนต่อเมืองนอกแทนที่จะมานั่งอยู่ว่างๆ แล้วก็คิดมาตลอดว่าควรจะบอกนายตอนไหนดี แต่วันนี้คงเหมาะที่สุดแล้วที่จะบอกกับนาย พี่จะไปเร็วที่สุดแน่นอน ไม่ต้องกังวลว่าคุณผู้หญิงคนนั้นที่ไม่ว่าเขาจะเป็นเจ้าสาวของนายมาจากไหนจะต้องมาเข้าใจผิดอีก เพราะเราก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ลาก่อนนะยองอุน” ว่าเสียยืดยาวด้วยถ้อยคำที่คนฟังไม่ได้ต้องการแม้แต่น้อยก่อนจะหันหลังเดินจากไปช้าๆ

“จองซูอา…ผมกับรุ่นพี่คนนั้นไม่ได้จะแต่งงานกันเลยนะ พี่หยุดฟังผมก่อนเถอะ ไหนพี่เคยบอกว่าเชื่อในความดีในตัวของผมไม่ใช่เหรอ จองซู…”

ส่งเสียงไล่หลังอย่างหมดหวังเมื่อเจ้าของชื่อจองซูที่เฝ้าเรียกรั้งนั้นไม่ได้แม้แต่จะหันกลับมามองอีกเลย แต่หากเพียงแค่ยองอุนจะเดินไปรั้งร่างของอีกฝ่ายเอาไว้อีกครั้งก็คงจะได้เห็นว่าความอ่อนแอที่เฝ้าเก็บกลั้นมานานได้พังทลายลงเช่นไร หยดน้ำตามากมายบนดวงหน้าหวานได้กลั่นออกมาจากความเสียใจมากเพียงใด

เสียใจ…เพราะปาร์คจองซูโกหก

ปาร์คจองซูไม่เคยดีใจที่คิมยองอุนจะต้องเป็นของใครคนอื่น
ปาร์คจองซูไม่เคยอยากจะจากคิมยองอุนไปอย่างไม่มีวันจะได้พบกันอีกแบบนี้
ปาร์คจองซูไม่ได้แม้แต่จะได้รับคำชวนจากใครให้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศทั้งนั้น

ปาร์คจองซูโกหกทั้งหมดทุกคำ เว้นก็แต่เพียงคำพูดแผ่วเบาตอบคำถามที่ไล่หลังมาของคิมยองอุนเมื่อกี้นี้

“พี่…คงไม่สามารถเชื่อในความดีในตัวนายได้อีกต่อไปแล้วยองอุน พี่ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”

แต่กลับมานึกขึ้นได้ในเวลานี้
ในเวลาที่เธอเดินจากฉันไปแสนไกล
หากเธอนั้นยังอยู่ จะกอดเธอให้ชื่นใจ
และค่อยพูดออกไป ทุกสิ่งที่อยู่ในใจฉัน

และแม้ว่ายองอุนจะอยากอธิบายให้คนที่หันหลังเดินจากกันไปเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดมากมายเพียงใด อยากจะเข้าไปกอดรั้งคนตัวเล็กกว่าไว้มากมายเพียงไหน แต่จากทีท่าอาการที่แสดงการปฏิเสธอย่างชัดเจนเมื่อครู่ก็บอกชัดว่าคนที่กำลังเข้าใจผิดจะไม่มีทางยอมรับฟังอีกต่อไปไม่ว่าเหตุผลของเขาจะดีเลิศเลอสักเพียงไหนก็ตาม

ดังนั้น สิ่งที่ชายหนุ่มทำหลังจากที่จำต้องเฝ้ามองการเดินจากไปของคนที่เป็นที่รักยิ่งอย่างช้าๆโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยก็คือการกลับเข้าไปในผับแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อไปเอาเครื่องมือสื่อสารของตนกลับคืนมาจากเพื่อนและเดินทางกลับบ้านที่ ณ บัดนี้เหลือผู้อาศัยอยู่เพียงแค่คนเดียวโดยที่สมองไม่ได้รับรู้และจดจำภาพใดๆอีกเลย

คำขอโทษราวกระแสธารไหลหลั่งพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่าที่เพื่อนๆรวมหัวกันกักตัวเขาไว้เช่นนั้นเพียงเพราะต้องการให้เขาได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกับรุ่นพี่ที่เคยจากกันอย่างไม่น่าจดจำคนนั้น แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้

“…ไม่เป็นไร..ฉันเข้าใจ ไม่เป็นไร” จึงเป็นเพียงสิ่งที่ชายหนุ่มเฝ้าพูดวนย้ำไปมาก่อนที่จะปลีกตัวจากมา

หลังจากวันนั้นมา คิมยองอุนถึงได้รู้ว่าปาร์คจองซูเป็นคนพูดจริงทำจริงได้มากเพียงไหน เมื่อคนร่างบางไม่เคยกลับมาให้ได้เห็นหน้าอีกเลย แม้แต่เสื้อผ้าที่แขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าที่บ้านของทั้งคู่ที่อาศัยอยู่ร่วมกันมาตลอดก็ยังคงอยู่ครบถ้วนทุกตัว เช่นเดียวกับข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ไม่มีอะไรเลยสักอย่างที่ขาดหายไป มีเพียงคนสำคัญที่สุดเท่านั้นที่ได้จากเขาไปแล้ว…จากไปตลอดกาลอย่างที่เจ้าตัวได้ประกาศไว้

แต่นอกเหนือไปจากข้าวของที่ไม่สำคัญเหล่านั้น กลับยังมีของอยู่ชิ้นหนึ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนที่ยิ่งกว่าสำคัญยังคงวางนิ่งอยู่ในบ้าน บนโต๊ะกระจกตัวเล็กในส่วนนั่งเล่นที่ดูท่าว่าจองซูคงยังไม่ได้เอามันไปเก็บให้เรียบร้อยเพราะรีบออกมาตามหาเขาข้างนอก

ของสิ่งนั้นก็คือ…ผ้าพันคอสีขาวบริสุทธิ์ที่ยองอุนพันมันติดคอไว้เสมอเมื่ออากาศเริ่มจะเย็น ทั้งที่ตัวเขาก็ไม่ใช่คนขี้หนาวเหมือนกับคนที่ซื้อหามันมาให้กับเขาเลยแม้แต่น้อย

ของเพียงสิ่งเดียวที่เปรียบเสมือนตัวแทนของจองซูที่เขารัก

คิมยองอุนพรูลมหายใจผ่านริมฝีปากสีสดเมื่อเรื่องราวที่แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีกลับฉายผ่านเข้ามาในสมองอีกครั้ง แจ่มชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวันวาน หรือเพียงเพราะบางที อาจวันนี้เป็นวันครบรอบวันที่เขาและจองซูได้พบกันเป็นครั้งแรกอีกครั้งกระมังจึงได้ทำให้สายธารความทรงจำกระจ่างชัดเช่นนี้

แรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์มือถือในกางเกงผ้าเนื้อดีดึงให้ยองอุนหลุดออกมาจากห้วงความคิดทั้งหลายนั้น เพราะเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอบ่งบอกว่าเวลางานของเขากำลังจะก้าวเข้ามาขัดจังหวะเวลาส่วนตัวอีกครั้ง

“ฮัลโหล ว่าไง…”
…เสียงแบบนี้แปลว่าวันนี้ยังไม่ได้เข้าไปตรวจงานที่รีสอร์ทของฉันเลยล่ะสิ…
“อ๋อ ที่จะโทรมานี่ก็แค่อยากจะมาเร่งให้ไปทำงานเร็วๆเท่านั้นเหรอครับคุณเจ้านาย”
…ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก แค่จะบอกไว้ว่าวันนี้ฉันจะเข้าไปที่นั่นด้วย มีประชุมสรุปงบตอนบ่าย รู้เรื่องแล้วใช่ไหม…
“เออ รู้แล้ว แค่นี้ใช่ไหม”
…เฮ้ย เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งวาง…
“อะไรอีกล่ะ”
…เออ สะบัดเสียงเหวี่ยงเข้าไปเถอะไอ้ยองอ้วน ฉันรู้นะเว้ยว่าที่แกไม่เข้าไปทำงานน่ะมันเพราะอะไร แค่อยากจะบอกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะกับการมีชีวิตอยู่แต่กับความทรงจำน่ะ ชีวิตคนเรามันต้องก้าวเดินต่อไป แกเป็นแบบนี้ใครเขาเห็นเขาก็เป็นห่วงกัน เท่านี้แหละ…
“เออ ถ้าเป็นคำปลอบใจก็ขอขอบใจไว้ด้วยนะ แต่บางทีชีวิตฉันมันก็ต้องการอดีตไว้ผูกติดบ้างน่ะ มันจะได้ไม่เลื่อนลอยจนเกินไป เท่านี้แล้วกัน เดี๋ยวจะไปทำงานรับใช้คุณเจ้านายแล้ว เจอกันตอนประชุมเลยนะ”

ว่าทิ้งไว้เท่านั้นโดยไม่รอให้เพื่อนตอบอะไรกลับมาอีก ชายหนุ่มก็กดตัดสายทิ้งไป โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมถูกเก็บลงไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้งเมื่อเจ้าของมันลุกขึ้นจากม้านั่งตัวเล็กริมทาง

ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้
เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอตลอดมา

ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า ฉันยังรักเธอ

ความคิดของเขา…แม้ว่ามันจะอัดแน่นไปด้วยชื่อของปาร์คจองซูมากมายสักเพียงไหน หากแต่สำหรับคนที่ได้จากกันไปไกลแสนไกลเช่นนั้นแล้ว มันก็คงจะส่งไปไม่ถึงคนในความคิดคนนั้นอยู่ดี

เขา…คิมยองอุนคนนี้คงทำได้เพียงแค่ฝากให้สายลมและต้นหญ้าเล็กๆรอบกายเหล่านี้ช่วยเก็บสะสมเอาความคิดถึงที่เขาเอามาฝากไว้ทุกวันไว้บ้าง เพียงเผื่อว่าวันไหนที่คนในความคิดของเขาได้กลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง อย่างน้อยก็อาจจะยังพอทำให้รับรู้ได้บ้างว่า…ความรัก…ที่เขาเคยประกาศไว้ว่าจะมีให้ตลอดไปนั้นไม่ได้ลดลงไปไหนเลยแม้สักน้อย

ก้าวย่างอย่างมั่นคงฝากร่องรอยไปตามทางเดินปูอิฐที่ทอดยาวเบื้องหน้าอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มตัดสินใจเดินกลับไปทำงานตามที่เจ้านายสู้อุตส่าห์โทรศัพท์มาเร่งกันได้ตั้งแต่ยังเช้าเช่นเมื่อครู่ พลางดวงตาก็จับจ้องมองผ่านทิวทัศน์ข้างทางที่ยังคงเป็นแบบเดิมเช่นเดียวกับที่เขาเห็นมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ขอย้ายตัวเองมาทำงานยังที่ดินที่เคยไม่ชอบใจยิ่งแห่งนี้ ไม่ได้สนใจสิ่งใดจวบจนกระทั่งสายตาคมตวัดไปพบเข้ากับร่างคุ้นตาที่เบื้องหน้า

สองร่างกลางทางเดินทอดยาวหยุดนิ่งอยู่ในระยะห่างที่ไม่เกินไปกว่าสายตาจะจับรายละเอียดของกันและกันได้…

ดวงตาคมขลับฉายแววสับสนระคนประหลาดใจเมื่อภาพของคนที่สะท้อนอยู่ภายในดวงตาทั้งคู่คือร่างของชายหนุ่มรูปร่างโปร่งบางเกินบุรุษเจ้าของใบหน้าหวานละมุนล้อมกรอบด้วยเส้นผมนุ่มสีน้ำตาลเข้มที่ปลิวระไปกับเครื่องหน้าอ่อนหวานยามที่กระแสลมพัดผ่านมาแต่ละครั้ง กลีบปากฉ่ำแดงเม้มเข้าหากันแน่นดังเช่นทุกคราที่เจ้าตัวอยู่ในภาวะกดดัน และดวงตากลมโตเปล่งประกายระริกไหวเมื่อมองสบลงให้ลึกยิ่งขึ้น แผกไปจากความเย็นชาที่ได้พบเห็นครั้งสุดท้ายราวกับพลิกฝ่ามือ

“จองซู…”

ชื่อที่ยองอุนไม่คิดว่าจะได้เรียกอีกแล้วในชีวิตหลุดลอยออกจากริมฝีปากอีกครั้ง แม้จะไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ หากกลับทำให้คนฟังขบเม้มริมฝีปากแดงแน่นเข้าเมื่อหยาดน้ำใสหลั่งรินออกจากดวงตาคู่นั้นอย่างห้ามไม่อยู่

ร่างสูงค่อยๆก้าวเข้าไปหาคนที่เขาเฝ้าคิดคำนึงถึงมาตลอดเวลาหลายปีที่ล่วงผ่าน ลดระยะห่างระหว่างกันลงช้าๆตราบกระทั่งมาหยุดลงห่างกับร่างตรงหน้าเพียงนิด

มือใหญ่ยกขึ้นอย่างขลาดกลัว หวั่นว่าจะถูกปัดป้องโดยมือเรียวเล็กของคนที่กำลังร้องไห้อยู่เงียบๆดังเช่นที่เคยได้พบมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน หากเมื่อปลายนิ้วโป้งไล้ผ่านรอยน้ำตาบนใบหน้าหวานแล้ว มือที่กำแน่นอยู่ข้างลำตัวของอีกคนก็ยังคงวางไว้ที่เดิมเช่นนั้น ยองอุนบรรจงเกลี่ยหยดน้ำที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรินไหลง่ายๆออกอย่างนุ่มนวลขณะโอบมืออีกข้างหนึ่งไปตระกองกอดเอวบางไว้หลวมๆ

ผอม…เกินกว่าที่คิดไว้

เสียงทุ้มของคนตัวใหญ่กว่ากระซิบเบาๆชิดใบหน้าของคนที่รัก “อย่าร้องไห้อีกเลยจองซู น้ำตาของพี่…ทำให้ผมเจ็บตามไปด้วย”

คำขอร้องนุ่มนวลดูจะไม่เป็นผลเมื่อแว่วเสียงสะอื้นที่บอกให้รู้ว่าคนในวงแขนคงร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม นิ้วใหญ่จึงได้เลื่อนขึ้นมาปาดน้ำตาออกอีกครั้งพร้อมคำวิงวอน…อ่อนหวานเท่าที่จะสามารถทำได้

“ตลอดเวลาผมคิดถึงพี่แค่ไหนรู้บ้างไหม ได้โปรด…อย่าหนีผมไปไหนอีกเลยนะ ให้โอกาสผมอีกครั้ง ได้ไหมจองซู…”

แม้จะยังไม่ได้รับคำตอบใดๆจากคนในวงแขนแข็งแรง หากแต่ทีท่าของคนตัวเล็กบางที่โอนอ่อนลงอิงซบไปกับร่างกายของยองอุนก็ดูจะเพียงพอแล้วสำหรับชายหนุ่มร่างสูงในเวลานี้

ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันได้ฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า…

ลมเย็นพัดผ่านมาอีกระลอกหนึ่ง กลุ่มผมนุ่มที่เคลียอยู่ข้างแก้มของร่างสูงกรุ่นกลิ่นหอมอ่อนจางที่ชวนให้อบอุ่นใจ ได้เป็นดั่งเครื่องย้ำว่าสัมผัสของมือทั้งคู่นี้…ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงอีกต่อไป

ยองอุนกระชับแขนที่กอดเอวบางไว้แน่นขึ้นให้สมกับความคิดถึงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่าน ริมฝีปากที่เคยกรอกผ่านน้ำสีอำพันมานับครั้งไม่ถ้วนเอื้อนเอ่ยคำหวาน เฝ้าย้ำให้คนที่ห่างหายไปนานได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ไม่มีโอกาสได้บอกมาตลอดเวลาที่มีความเจ็บปวดหัวใจคอยอยู่เป็นเพื่อน

“ผมรักพี่นะจองซู และจะรัก…แค่พี่คนเดียว”

อ้อมกอดอุ่นที่โอบล้อมเรือนร่างผอมบางแนบแน่น…ไม่ต่างไปจากมือเรียวเล็กที่ค่อยยกขึ้นกอดตอบ

มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า…

“พี่ยอมแพ้นายแล้วยองอุน…” เสียงนุ่มที่แม้ว่าจะติดอู้อี้เพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้ร้องบอกกับอ้อมกอดอุ่นเบาๆ

“เพราะพี่ก็รัก…ไม่ต่างจากนายเลย”


The End