อยู่ดีๆก็คิดถึงฟิกเรื่องนี้ขึ้นมา แต่งเองคิดถึงเอง ^^ ไม่ผิดเนอะ …
Title :: ความคิด
Pairing :: Kangin x Leeteuk
Author :: ParkSooHyun
Rating :: PG-13
Genre :: Song Fic/AU
Song :: ความคิด – Stamp
Author’s Note :: เรื่องราวทั้งหมดที่แต่งขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น*
********************************************************
ความคิด
บนถนนสายเล็กที่ไม่ค่อยพลุกพล่านด้วยผู้คน…
ทางเดินปูอิฐทอดยาวไปเบื้องหน้า เรียงรายสองข้างทางด้วยบ้านหลังน้อยสลับกับทุ่งกว้างรกร้างไร้ซึ่งผู้ดูแลหากกลับไม่ขัดตาแต่อย่างใด
บนความรู้สึกราวอ้างว้างเงียบงันท่ามกลางความสงบนิ่งของบรรยากาศรายล้อม สายลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง หอบเอาเศษใบไม้แห้งติดตามมาด้วย อดีตใบที่เคยชอุ่มเขียวอยู่บนต้นละล่องลอยอย่างนุ่มนวล เนิบช้า แหวกผ่านม่านอากาศ ตราบจนมาจรดลงที่ปลายเท้าคู่หนึ่ง
ยังเดินผ่านทุกวัน
ที่ที่เราพบกันเมื่อก่อน
ยังจำซ้ำๆได้ทุกตอน
ราวกับมีใครมาหมุน ย้อนเวลา…
เสียงฝีเท้ากระทบทางเดินที่ถูกกรุยไว้ด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม เบาแสนเบาเมื่อเทียบกับเสียงนกน้อยขับขาน ทว่า กลับดังก้องอยู่ในใจของเจ้าของเท้าคู่นั้นเสียยิ่งนัก
นัยน์ตาคมดุแทรกความน่าขามเกรงแก่ผู้พบเห็นเวลานี้กลับทอดแสงอ่อนลงเบนตามการเคลื่อนไหวของใบไม้ใบน้อยที่ตัดสินใจมาทิ้งตัวลงตรงหน้าตน มือข้างหนึ่งที่ว่างขยับผ้าพันคอสีขาวสะอาดตาที่หยิบติดมือมาด้วยให้กระชับขึ้นอีกเล็กน้อยราวกับเรียกหาความอบอุ่นจาก “เจ้าของ” ผ้าผืนนั้น
…อากาศเริ่มจะหนาวอีกแล้ว…
ชายหนุ่มบอกกับตัวเองเช่นนั้นเมื่อรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่เป็นต้นเหตุนำพาเจ้าใบไม้กรอบแห้งปลิดปลิวลงมากองอยู่ตามทางเดินเสียมากมายเช่นนี้
มือที่กระชับผ้าผืนน้อยทิ้งลงข้างตัวเพื่อใช้โอบประคองกลีบดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ในอีกมือหนึ่งอย่างถนอมขณะที่เจ้าของมันก้าวย่างด้วยความมั่นคงไปเบื้องหน้า
เขาไม่ใช่คนขี้หนาว และไม่ใช่คนที่หลงใหลในความงามของธรรมชาติอย่างเช่นดอกไม้ดอกเล็กๆที่ถืออยู่ในมือเช่นนี้
และหากจะเอาความไปเล่ากับใครว่าพบเห็นคนเช่นเขามาเดินทอดน่องอยู่แถบชานเมืองเงียบๆอย่างถนนสายนี้ก็คงจะไม่มีใครเชื่อเป็นแน่ เพราะสำหรับ…คิมยองอุน…แล้ว สถานที่ที่เหมาะสมกับเขา อย่างน้อยก็ในสายตาของทุกๆคน มันควรจะเป็นสถานที่ที่มีเพียงความอึกทึกรายรอบกาย กลิ่นไอคลุ้งเอียนของกลุ่มควันสีเทาจากมวนบุหรี่ และผู้คนมากหน้าหลายตาที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ
ผับ…
สถานที่ที่เขาชื่นชอบนัก แต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นสถานที่ที่ฉีกกระชากหัวใจทั้งดวงของเขาให้ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี และต้องเจ็บปวด…มากเสียจนไม่กล้าแม้แต่จะย่างเท้ากลับเข้าไปเหยียบที่นั่นอีก ทำได้เพียงทิ้งมันไว้กับความทรงจำเบื้องหลังท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ของบรรดาเพื่อนฝูง เหลือเพียงตัวเขาคนเงียบขรึมที่มีกิจวัตรประจำวันคือการมาเดินทอดฝีเท้าไปตามทางเดินยาวสุดตาดังเช่นตอนนี้
ห่างออกไปไม่ไกล สายตาคมกริบก็ได้รับภาพม้านั่งไม้โดดเดี่ยวริมทางเดิน แทบจะถูกปกคลุมไว้ด้วยวัชพืชที่เติบโตขึ้นอย่างไร้การดูแลเอาใจใส่จากใครก็ตามที่ควรจะเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มอบอุ่นไม่ต่างจากแววอ่อนโยนจากนัยน์ตา
ชายร่างสูงเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเอนหลังไปกับพนักแข็งที่ไม่ชวนให้สบายตัวท่าไรนัก หากกลับทำให้คนที่ทำเช่นนั้นสุขใจเสียจนต้องพริ้มตาหลับลง ปล่อยกายให้ผ่อนคลายไปกับลมเย็นที่พัดมาไม่ขาดสาย ให้สายลมนั้นนำพาความคิดย้อนกลับไปในห้วงแห่งความทรงจำแสนสุข
ความทรงจำ…ที่จะไม่มีวันลืม
********************************************************
วันนั้นก็เหมือนกันกับวันนี้…
อากาศที่เริ่มจะเย็นลงกับลมที่พัดเบาๆหากกลับพาให้ใบไม้มากมายปลิวเกลื่อนลงสู่พื้น บรรยากาศที่ควรจะคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของธรรมชาติอย่างบริบูรณ์กลับถูกรถยนต์สีเข้มคันใหญ่ทำลายมันลงไปแทบจะสิ้น รถยนต์หรูเร่งความเร็วไปตามทางที่เกือบจะเรียกได้ว่าเล็กเกินไปอย่างไม่นำพาซึ่งสิ่งใด ไม่ต่างกับเจ้าของพาหนะคันนั้นที่กำลังแสดงสีหน้าอาการไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งกับ “งาน” ที่ตนได้รับคำสั่งให้มาดำเนินการให้เรียบร้อย
การมาสำรวจพื้นที่ที่จะสร้างรีสอร์ทของเจ้านายที่คิดจะแหวกแนวทางของบริษัทออกไปด้วยคอนเซปต์ความสงบท่ามกลางธรรมชาติแทนที่จะเป็นความหรูหราใจกลางเมือง กับการใช้งานให้คิมยองอุนคนที่เกลียด “ความสงบท่ามกลางธรรมชาติ” เป็นที่สุดมาเป็นผู้สำรวจพื้นที่ก่อนใครนั้น ไม่ว่าพนักงานคนไหนๆที่ได้ยินเรื่องก็แทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิดเสียด้วยซ้ำไปว่ามันสุดแสนจะไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
หากก็เพราะเจ้านายที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งนายใช้วิธีการไม่ว่าจะขอร้อง บังคับ หรือกระทั่งจูงใจด้วยเหล้านอกอีกสองสามขวด สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการที่คิมยองอุนตะบึงตะบอนยอมขับรถมาทำงานให้ตามที่สั่ง
เสียงหึในลำคอดังขึ้นราวกับเยาะตัวเองที่ยอมเห็นแก่ของกำนัลราคาแพงของเพื่อนและยอมมาทำงานนี้ให้ เพราะสายตาคมที่ละออกจากกระจกหน้ารถเพื่อไปมองทิวทัศน์ข้างทางที่เจ้าเพื่อนรักโปรโมทนักหนาว่าสวยไม่มีรีสอร์ทไหนเทียบติดไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเกิดความประทับใจเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายมันกลับยิ่งอยากทำให้เขารีบๆกลับโซลเร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำไป
ก็คิมยองอุนกับทุ่งหญ้าสีอ่อนที่ปลิวไสวไปตามสายลมแผ่วข้างนอกนั่นน่ะ…มันเหมาะกันที่ตรงไหนไม่ทราบ
กินเวลาอยู่ไม่น้อยที่ชายหนุ่มเจ้าของรถยนต์คันโก้เบนสายตาออกจากกระจกหน้ารถที่ควรจะเพ่งสมาธิไปเพื่อโต้เถียงความคิดแปลกๆของเพื่อนในใจ และมันก็คงจะนานเกินไปเสียด้วย เพราะเมื่อยองอุนหันกลับมามองยังจุดที่ควรจะมองอีกครั้งก็ปรากฏว่ารถทั้งคันของเขากำลังพุ่งตรงเข้าไปหาร่างบอบบางบนจักรยานคันเล็กๆที่ไม่มีทางเบี่ยงหลบได้ทันนอกเสียจากว่าจะทิ้งตัวลงข้างทางที่ค่อนข้างจะรกเรื้อนั้น เท้าที่ออกแรงกดไปบนคันเร่งรีบย้ายมาอยู่บนแป้นเบรกพร้อมกดแรงลงไปเต็มที่ในทันที
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดด…
เสียงล้อรถบดเบียดกับพื้นปูอิฐเกิดเสียงดังสนั่นด้วยความแรงของรถที่ส่งตัวมาตั้งแต่ต้น หากเจ้าพาหนะคันใหญ่ที่พาเขามาจนถึงที่นี่ที่ยังคงประคองตัวอยู่บนเส้นทางได้ก็ได้หยุดสนิทลงตามที่ใจสั่งเรียบร้อยในที่สุด ใช้เวลาหายใจหายคอเอาอากาศเข้าปอดเพื่อเรียกขวัญที่บินกระเจิงออกไปไกลอยู่สักครู่ก่อนจะนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ขวัญของเขามีอันต้องบินหนีออกไปจากกระหม่อมขึ้นมาได้
“บ้าเอ๊ย…เมื่อกี้ชนรึเปล่าก็ไม่รู้” สบถเสียงเบากับตัวเองหลังจากที่ภาพของคนตัวเล็กๆบางๆบนจักรยานเมื่อครู่แวบผ่านเข้ามา
…ท่าทางจะเป็นผู้หญิงเสียด้วย จะได้เสียความเป็นสุภาพบุรุษกันก็วันนี้แหละหนอคิมยองอุน…
มือใหญ่ปลดล็อกก่อนจะรีบพาตัวเองลงจากรถยนต์คันใหญ่เพื่อไปสำรวจความเสียหายของอีกฝ่ายที่น่าจะได้บาดแผลเล็กๆน้อยๆจากความประมาทเมื่อครู่ของเขาอย่างรีบเร่ง ขายาวพาชายหนุ่มเดินอ้อมหน้ารถมาหยุดลงตรงทางเดินที่เกลื่อนกระจายไปด้วยดอกไม้สีขาวที่ ณ บัดนี้สีของมันดูจะหม่นๆลงไปเพราะกลีบบางที่ลงไปคลุกอยู่กับฝุ่นเสียเต็มที่ กับคนตัวผอมในชุดขาวทั้งตัวที่น่าจะเป็นเจ้าของดอกไม้พวกนั้นที่กำลังก้มตัวลงเก็บดอกไม้ขึ้นมาทีละดอกสองดอก
เสี้ยวหน้าด้านข้างที่ได้เห็นทำให้ความรู้สึกผิดพุ่งเข้าใส่ยองอุนอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อดวงตากลมที่ก้มมองของในมือดูเปี่ยมไปด้วยความเสียดายไม่ต่างไปจากท่วงท่าที่ค่อยๆเก็บเจ้าพรรณไม้เล็กๆขึ้นมาจากพื้นถนน
ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเป็นคนขาดความละเอียดอ่อนจนถึงขั้นร้ายแรงไปบ้าง แต่การที่ต้องมาเห็นภาพผู้หญิงทำหน้าตาท่าทางเสียใจเพราะเขาเป็นต้นเหตุก็เรียกให้สามัญสำนึกของความเป็นคนดีของเขารีบออกมาแสดงตัวได้อย่างเช่นในตอนนี้
ยองอุนก้าวเข้าไปใกล้ร่างนั้นพลางย่อตัวลงเพื่อช่วยผู้เสียหายเก็บดอกไม้ซึ่งเกลื่อนกระจายอยู่ตามพื้นปูอิฐ เจ้าของมือบางที่สาละวนอยู่กับการรวบรวมดอกไม้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนตัวสูงที่กำลังส่งยิ้มอย่างรู้สึกผิดมาให้
ยองอุนรีบออกตัวก่อนที่อีกคนจะได้พูดอะไร “อา…ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ คือว่าผมรีบไปหน่อยน่ะ”
ฝ่ายที่รับคำขอโทษซึ่งควรจะต้องตีโพยตีพายเรียกร้องค่าเสียหายจากยองอุนอย่างที่คนทั่วๆไปน่าจะทำกันหรืออาจจะตวาดแว้ดกับคำแก้ตัวที่ฟังยังไงก็ดูไม่มีน้ำหนักเพียงพอกลับส่งยิ้มตอบกลับมาให้ บางเบา…หากกลับทำให้คนมองรู้สึกประทับใจได้ไม่ยาก
น้ำเสียงไพเราะนุ่มนวลเอ่ยตอบทำให้เขาได้รู้ว่าคนตรงหน้านี้…
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ดูท่าทางจากที่คุณขับรถตรงมาแต่แรกก็รู้แล้วว่ารีบ ผมต่างหากที่ผิด รถเล็กควรจะหลบรถใหญ่จริงไหมครับ”
…เป็นผู้ชาย
อา…ว่าแต่ทำไมหน้าตาของผู้ชายคนนี้ถึงได้หวานเหมือนผู้หญิงได้ถึงขนาดนี้กัน แถมรูปร่างก็บอบบางเกินกว่าจะเป็นผู้ชายเสียอีก
ยองอุนสลัดความคิดของตัวเองออกไปเมื่ออีกคนยังคงส่งยิ้มมาให้ราวกับกำลังรอคำตอบรับจากเขาอยู่ …ก็ขนาดยิ้มยังหวานเกินกว่าจะเหมือนผู้ชายขนาดนี้เลย…
“อา…ครับ ก็อาจจะจริง แต่ถึงยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยอยู่ดีนะครับที่ทำให้ต้องเสียเวลา แถมยังต้องเสียของแบบนี้”
เสียงหัวเราะเบาๆไม่ได้แสดงว่าอีกคนโกรธเคืองแต่ประการใด ซ้ำจากท่วงท่าที่ร่างบอบบางในชุดขาวเบื้องหน้ายืดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงยังดูจะคลายความเสียดายที่ได้เห็นเมื่อครู่ลงไปแล้วด้วยซ้ำ
“ช่างมันเถอะครับ ก็แค่ดอกไม้ธรรมดาเท่านั้นเอง มันไม่ได้มีค่ามากไปกว่าคำขอโทษของคุณหรอก คุณนี่…เป็นคนดีจังนะครับ”
วาจายกย่องคนที่เพิ่งด่าทอบรรยากาศแสนสบายอย่างเช่นยองอุนที่ได้ฟังไม่ได้ทำให้คนที่ลุกตามร่างบางอีกคนขึ้นมาเผยรอยยิ้มได้อย่างบริสุทธิ์ใจเลย
…คนดี…อย่างนั้นเหรอ? เขาเนี่ยนะ…
ถึงจะตะขิดตะขวงใจไม่ค่อยอยากรับคำชมสักเท่าไรนัก หากยองอุนก็กลับก้าวตามหลังคนตัวเล็กกว่าที่เพิ่งสรุปกับตัวเองแล้วให้นิยามคำว่าคนดีกับเขาเสร็จสรรพไปยังเก้าอี้ไม้ตัวเล็กๆที่ตั้งอยู่ริมทางราวกับรู้ว่าจะต้องใช้เป็นที่นั่งพักของคนที่จะถูกเขาขับรถชนวันนี้กระนั้น
มองเจ้าของดอกไม้สีขาวเข้าชุดกันพอดีกับเสื้อผ้าของเจ้าตัวทรุดตัวลงนั่งก่อนจะทำตาม เว้นระยะห่างไว้พอให้เจ้าดอกไม้ช่อใหญ่ๆได้มีที่นอนแผ่หลาอย่างสบาย คนที่เป็นฝ่ายนั่งลงก่อนหันหน้ามามองอย่างแปลกใจ
“คุณ…ไม่ต้องรีบไปเหรอครับ”
ยองอุนหันไปยิ้มให้ “แล้วคุณไม่ต้องรีบไปไหนเหรอครับ”
คำถามที่ย้อนกลับมาทำให้คนฟังหัวเราะเบาๆ เสียงนุ่มที่ยองอุนคิดว่าฟังแล้วก็เพลินหูดีตอบกลับมา “ผมพักอยู่แถวนี้ แถมของที่จะเอาไปขายเขาก็เสียไปแล้วจะต้องรีบไปไหนล่ะครับ อ๊ะ…แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ” คนร่างเล็กรีบต่อคำพูดของตนทันทีราวกับกลัวว่าจะทำให้คนฟังแปลความหมายผิดเพี้ยนไป “…ผมไม่ได้จะต่อว่าคุณที่ทำให้ดอกไม้พวกนี้ขายไม่ได้หรือว่าเสียหายอะไร”
“ทั้งที่ความจริงคุณควรจะว่าผมนะครับ” ตอบด้วยรอยยิ้มบาง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะความจริงแล้วดอกไม้พวกนี้ก็เป็นของคุณยายของผมทั้งนั้น ท่านทำไร่ดอกไม้อยู่แถวนี้พอดี พอดอกไม้ออกดอกก็จะตัดมาขาย ได้เงินมาไม่เท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ทำให้ต้องเดือดร้อนอะไร ความจริงแล้วท่านออกจะมีเงินทองพอให้ใช้สอยจนสบายด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงที่บอกเล่าเรื่องราวดูเปี่ยมสุขเสียจนคนฟังอดยิ้มตามไปไม่ได้ ครอบครัวอบอุ่นที่เขาถวิลหา ทำไมคนตรงหน้าถึงได้โชคดีนักนะ…
“ถ้าอย่างนั้นถ้าผมจะขอเหมาดอกไม้ของคุณวันนี้ทั้งหมดเลย…จะว่าอะไรไหมครับ”
เจ้าของดอกไม้ที่อันที่จริงควรจะใช้คำว่า ‘หลานเจ้าของดอกไม้’ หันขวับมามอง “ที่เล่าให้ฟังนี่ไม่ใช่เพราะอยากได้เงินของคุณนะครับ ดูท่าทาง…คุณจะมาจากโซลใช่ไหม”
คนตัวเล็กเปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อๆ ยองอุนพยักหน้าตอบอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ เมื่อก่อนผมเรียนมัธยมแล้วก็มหาลัยที่โซลนะ ที่บ้านก็เป็นคนโซล แต่เพราะรู้ว่าที่โซลให้ความสำคัญกับเรื่องเงินแค่ไหน คุณยายของผมก็เลยหลบออกมาดื้อๆมาสร้างไร่ของท่านที่นี่ ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าเรื่องเงินทองเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกคน อย่างน้อยก็กับผม เพราะงั้นอย่าเลยดีกว่านะครับ”
ถ้อยคำปฏิเสธนุ่มนวลยากจะทัดทาน กระนั้นยองอุนก็ยังไม่เลิกตื๊อ “ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะครับ เห็นคุณเล่าเรื่องคุณยายก็เลยอยากจะช่วยเท่านั้น จะไม่รับเลยหรือครับ”
“ถ้าอยากจะช่วยจริงๆล่ะก็…ช่วยรับดอกไม้พวกนี้เอาไว้แทนได้ไหมครับ เงินที่คุณจะจ่ายน่ะ ผมคำนวณมันว่าครบถ้วนทั้งหมดจากคำขอโทษของคุณเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
ยองอุนเอื้อมมือออกไปรับดอกไม้ช่อหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่กระดาษสีสวยประดับช่อ ไม่มีการจัดแต่งที่หรูหรา …ก็เป็นเพียงแค่ดอกไม้ธรรมดาที่สุดแสนจะจืดชืดซ้ำยังคลุกฝุ่นจนเปรอะไปทั่ว… หากเขากลับไม่รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย อาจบางทีเพราะรอยยิ้มจริงใจจากเจ้าของมือบางที่ส่งมันมาให้กระมัง คนที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อด้วยซ้ำไป
ความคิดอยากจะถามชื่อปลิวหายไปพร้อมกับสายลมอีกระรอกเมื่อดวงตาคมตวัดไปเห็นรอยแผลถลอกจางๆบนฝ่ามือของคนที่นั่งอยู่เคียงกัน เสียงทุ้มเอ่ยทันควัน
“คุณมีแผลนี่ครับ”
คนที่มือถลอกส่งยิ้มบางๆมาให้อย่างไม่คิดอะไรมากเช่นเดียวกับประโยคที่เอ่ยตอบ “ช่างมันเถอะครับ แผลแค่นี้ไกลหัวใจตั้งเยอะ ไม่เป็นไรหรอก”
ทั้งที่เจ้าของแผลปฏิเสธเช่นนั้นหากคนฟังกลับไม่คล้อยตาม “ได้ยังไงล่ะครับ เชื้อโรคมันมีเยอะแยะนะคุณ มันอาจจะเป็นแผลเล็กๆที่ทำให้คุณเป็นบาดทะยักในอนาคตก็ได้ รอผมตรงนี้นะ ผมว่าผมต้องมีพลาสเตอร์ยาอยู่ในรถแน่ๆ”
ยองอุนสั่งการเสร็จสรรพก่อนจะผุดลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปค้นหาของในรถยนต์ส่วนตัวของตน เจ้าของมือใหญ่ที่ถือขวดน้ำสะอาดพร้อมกับพลาสเตอร์เล็กๆไว้ดูจะลืมไปเสียสนิทแล้วว่าสาเหตุที่ตนต้องเดินทางมายังที่แห่งนี้คืออะไร
“มาแล้วครับ ไหนขอผมดูแผลหน่อยสิ” ว่าด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉงที่ลืมถามตัวเองไปเสียสนิทว่าจะต้องกระฉับกระเฉงไปเพื่ออะไรกับคนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงสิบนาทีเช่นนี้ และโดยที่ไม่ต้องรอคำอนุญาตจากคนที่ยังนั่งรออยู่ที่เดิม ยองอุนก็กลับฉวยมือข้างที่เห็นว่ามีแผลเป็นของอีกฝ่ายไปดูทันทีพลางปากก็บ่นไปด้วย
“ดูสิเนี่ย เริ่มจะแดงเสียแล้ว แผลมันคงอักเสบล่ะสิ ถ้าอย่างนั้นล้างแผลก่อนแล้วกันนะครับ แล้วค่อยปิดพลาสเตอร์ไว้ กลับไปบ้านคุณก็จัดการมันใหม่อีกทีแล้วกันนะ”
ว่าพลางเปิดขวดน้ำสะอาดก่อนจะรินน้ำลงชำระบาดแผลถลอกบนมือบาง ตามด้วยผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งดึงออกมาจากกระเป๋าสดๆร้อนๆ หากคราวนี้คนที่นั่งเงียบมานานกลับออกแรงจะขืนมือออก เรียกให้ดวงตาคมต้องเงยขึ้นมองอย่างฉงน
“อย่าเลยครับ นั่นมันผ้าเช็ดหน้าของคุณนะ”
ยองอุนยิ้ม “แล้วถ้าไม่ใช้ผ้าผมแล้วจะใช้ผ้าคุณเหรอครับ พนันกันก็ได้ว่าคุณไม่มีทางพกผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาด้วยหรอกจริงไหม”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดรอยเลือดให้ผมแบบนี้หรอกครับ แค่คำขอโทษของคุณก็ถือว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณทำมากพอแล้ว”
ถ้อยคำโน้มน้าวที่คงเคยใช้ได้ผลเสมอกับทุกๆคนมีอันต้องเป็นหม้ายไปเมื่อยองอุนโปะผ้าลงบนรอยชื้นของน้ำอย่างไม่สนใจพร้อมเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าอยู่แล้ว”
ไม่นานหลังจากนั้น พลาสเตอร์ยาสีขาวดำพิมพ์ลายลูกหมาตัวเล็กน่ารักก็แปะหราอยู่บนฝ่ามือบางเป็นที่เรียบร้อย คนทำแผลคลายมือของอีกฝ่ายออกเป็นอิสระก่อนจะยกยิ้มให้หนึ่งที
“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว…”
“ขอบคุณนะครับ คุณนี่…เป็นคนดีจังนะ”
คำว่าคนดีอีกครั้งที่หลุดออกมาจากปากแดงๆนั้น ทว่า คราวนี้…คนดี…ที่ว่ากลับหัวเราะออกมาเบาๆขณะเอ่ยโต้กลับไป
“คุณชมผมว่าเป็นคนดีตั้งหลายครั้งแล้ว เพราะคุณยังไม่เคยรู้จักความเป็นคนไม่ดีในตัวผมต่างหาก”
คนร่างบางฟังคำพูดนั้นยิ้มๆก่อนจะผินหน้ากลับไปมองขอบฟ้าสีครามที่เบื้องหน้า “ไม่รู้เหมือนกันสิครับ อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่าก็ได้นะ แต่สำหรับผมแล้ว…ผมคิดว่าคนเราทุกคนต่างก็มีจิตใจที่ดีซ่อนอยู่เสมอนั่นล่ะ ความเป็นคนไม่ดีที่คุณว่าน่ะ มันก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่คุณสร้างมันขึ้นมาเท่านั้นเอง สร้างขึ้นมาเพื่อปิดบังความดีในตัวคุณไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมน่ะ…เชื่อในความดีเสมอนะ ก็ถ้าคุณไม่ใช่คนดีอย่างที่ผมพูดจริงๆน่ะ ไม่มีทางที่คุณจะมานั่งอยู่ตรงนี้ บอกขอโทษผม รับดอกไม้ของผมไว้ หรือทำแผลให้ผมหรอก จริงไหมครับ”
คำถามและรอยยิ้มที่แนบมาพร้อมกันเกือบทำให้คนมองสะดุดลมหายใจของตัวเอง คิมยองอุนไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก เที่ยวผู้หญิงมาก็นับครั้งไม่ถ้วนและไม่เคยมีความคิดอยู่ในสมองเลยว่าผู้ชายมีดีกว่าผู้หญิงที่ตรงไหน เพียงแต่วินาทีนี้ที่กำลังนั่งสบกับดวงตากลมหวานทอประกายความสุขนั้น กลับทำให้เขาลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปได้
สิ่งนี้…เขาเรียกว่าอะไรกันนะ ??
ไม่ได้ทันที่ยองอุนจะต่อคำ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังแหวกอากาศขึ้นมาเสียก่อน คนร่างบางพยักหน้าให้คนที่แสดงทีท่าขอตัวลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์
แม้ไม่ต้องดูชื่อที่หน้าจอก็รู้ว่าคนที่โทรมาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากคุณเจ้านายผู้ประเสริฐของเขาเอง ยองอุนกรอกเสียงลงไปอย่างเซ็งๆ
“ว่าไงครับคุณเพื่อน โทรมาทำอะไรไม่ทราบ”
…แหม ให้มันน้อยๆหน่อยเว้ยยองอุน ถามได้ว่าโทรมาทำอะไร ก็ถามเรื่องงานสิวะ เป็นไงที่ใช้ให้ไปดูน่ะ…
“สั่งเมื่อสองชั่วโมงก่อนจะเอาให้ได้ทันใจขนาดนั้นเลยหรือไง รีบไปไหนวะ”
…อ๋อ นี่แปลว่ายังไม่ได้ไปเห็นที่เลยล่ะสิ ใช่ไหมไอ้อ้วน…
“เออ กำลังจะไปเห็นเว้ย แล้วใครใช้ให้เรียกว่าอ้วนวะ”
…ไม่รู้ล่ะเว้ย ถ้าอีกชั่วโมงยังไม่โทรกลับมารายงานเรื่องที่นะ ไอ้เหล้าที่คุยกันไว้ก็เป็นอันยกเลิก เข้าใจรึเปล่า…
“เออๆ เข้าใจก็ได้วะ งั้นแค่นี้นะ จะได้รีบๆไปดูให้สมใจ”
นิ้วยาวกดตัดสายอย่างไม่ปราณีเท่าใดนัก นึกหัวเสียกับคนเป็นเพื่อนเสียเต็มที่ที่โทรมาเร่งงานในเวลานี้ทั้งที่ปกติก็ไม่เคยทำ และโดยที่ยังไม่ได้สอบถามตัวเองให้แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่าที่หัวเสียนั้นเป็นเพราะหงุดหงิดที่โดนเร่งงานหรือเพราะสาเหตุอื่นกันแน่ ยองอุนก็หมุนตัวกลับไปยังอีกฟากของถนนสายเล็กๆที่เขาเพิ่งเดินจากมาเมื่อไม่ถึงนาทีก่อน และเมื่อชายหนุ่มเดินมาจนถึงม้านั่งตัวเดิมอีกครั้งจึงได้เห็นว่าคนร่างบางในชุดขาวทั้งตัวส่งยิ้มรอท่าอยู่ก่อนแล้ว
“หมดเวลาอู้งานแล้วสินะครับ”
ยองอุนหัวเราะให้กับคำพูดนั้น “นี่หน้าตาผมมันฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอครับเนี่ย”
“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้าคุณได้มองกระจกตอนนี้ล่ะก็ คงจะได้เห็นเงาสะท้อนของเด็กผู้ชายตัวใหญ่ๆคนนึงที่กำลังขัดใจกับอะไรบางอย่างมองตอบกลับมาแน่ๆ”
รอยยิ้มบางกับคำพูดกวนเล็กๆไม่ได้ทำให้คนฟังโกรธปึงปังเหมือนอย่างที่ทำใส่เพื่อนตัวดีในสายโทรศัพท์เมื่อครู่ ซ้ำร้ายเขายังพลอยหัวเราะตามเสียงใสๆนั่นไปเสียอีก
“อย่างนั้นเหรอครับ ก็คงอย่างที่คุณว่านั่นแหละ ผมต้องไปทำงานแล้วล่ะ”
คนที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ตัวนั้น รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าหวานไม่คลายยามเมื่อเอ่ยคำอำลา “ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำงานเถอะครับ ผมคงทำให้คุณเสียเวลามามากแล้ว ถ้าโชคดีเราคงได้เจอกันอีกนะครับ”
“ผมก็หวังว่าอย่างนั้น ลาก่อนครับ” ตอบกลับไปทั้งที่ในใจลึกๆยังอยากจะนั่งคุยกับคนคนนี้ต่ออีกสักหน่อย คนที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจจนกระทั่งลืมต่อว่าต่อขานบรรยากาศชานเมืองที่เคยไม่ชอบไปได้สนิท
รอยยิ้มเป็นสิ่งที่ส่งมอบให้กันเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่คนตัวสูงจะเฝ้ามองแผ่นหลังบางในเสื้อสีขาวค่อยๆเคลื่อนห่างออกไปพร้อมกับจักรยานที่เพิ่งช่วยกันเก็บกู้ขึ้นมาจากข้างทาง มือหนาเปิดประตูรถยนต์ออกอีกครั้งและเตรียมจะบังคับพาหนะคันเก่งให้พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าสู่จุดหมาย หากทว่าเพิ่งออกรถไปได้ไม่เท่าไร เรื่องที่ปล่อยให้ปลิวหายไปกับสายลมได้พักหนึ่งก็กลับย้อนมาอีกครั้ง
จากเกียร์ D จึงถูกแทนที่ด้วยเกียร์ R นำพาให้ยานพาหนะคันใหญ่พุ่งถอยหลังแทนที่จะเดินหน้า ดวงตาคมจับจ้องอยู่กับกระจกส่องหลังด้วยความตั้งใจจวบจนกระทั่งกระจกเงานั้นสะท้อนภาพคนชุดขาวบนจักรยานในที่สุด ยองอุนกดสัญญาณแตรเบาๆเป็นการเรียก
รถทั้งสองคันหยุดลงเคียงกันยามเมื่อชายหนุ่มร่างสูงลดกระจกรถยนต์ฝั่งคนขับลงมาเพื่อพบกับใบหน้าเรียวหวานของคนที่เพิ่งแยกกันไปได้เพียงครู่ คนตัวบางบนจักรยานเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ
“ครับ มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าจะถอยมาคืนดอกไม้น่ะ บอกไว้ก่อนว่าผมไม่รับคืนนะ”
ยองอุนหัวเราะตามก่อนจะตอบ “ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเราคุยกันมาพักนึงแต่ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ผมคิมยองอุนนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
รอยยิ้มละไมที่มองแล้วเพลินตาเสียยิ่งกว่าท้องฟ้าใสๆที่เป็นฉากอยู่เบื้องหลังถูกส่งตอบกลับมาให้พร้อมกับเสียงนุ่มๆที่แม้ไม่ดังนัก หากยังคงติดตรึงมาจนถึงทุกวันนี้
“ผมชื่อจองซู ปาร์คจองซู…ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
********************************************************
แต่ก็คงจะหมุนย้อนได้แค่ในความคิด
ในชีวิตจริง คงไม่เจอกันอีกแล้ว
ยืนอยู่ตรงที่เดิม แต่ไม่มีวี่แวว
เธอจากไปแล้ว และคงไม่ย้อนคืนมาหา
ภาพความทรงจำแสนหวานพลันมลายหายสิ้นไปในทันทีที่เปลือกตาคมลืมขึ้นอีกครั้ง แทนที่ด้วยภาพท้องฟ้าสีหม่นท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายโอบล้อมรอบกาย
ทั้งที่ก็รู้ดีแก่ใจว่าวันนี้ เวลานี้ และบางทีอาจจะนับต่อจากนี้ไป จะไม่มีทางอีกแล้วที่คนที่เคยนั่งอยู่เคียงข้างกันจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง
เขา…ผู้ซึ่งกระทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย เขา…ผู้ซึ่งทำลายความเชื่อในความดีที่มีอยู่ในตัวทุกคนเสมอของคนที่เป็นความรักทั้งหมดลงไป
ยองอุนหันหน้าไปมองยังที่ว่างข้างกายที่เขาจงใจเว้นเอาไว้ ก็เป็นที่ว่างที่เว้นไว้เท่ากับเมื่อวันวาน…ที่ว่างที่เคยคิดว่าทำไมจึงได้ทำให้เห็นรอยยิ้มหวานชัดหนักหนาในวันนั้น กลับกลายเป็นที่ว่างที่เพิ่มพูนความรู้สึกเดียวดายในหัวใจได้มากล้นในวันนี้
อยากจะคิดเสียว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงตาที่สามารถจางหายไปได้ตลอดเวลาแค่เขากระพริบตาเพียงครั้ง หากแต่ความว่างเปล่ายามเมื่อมือหนาแหวกผ่านอากาศข้างกายเพื่อวางดอกไม้สีขาวดอกเล็กลงไปกลับเป็นเครื่องตอกย้ำให้เขารู้ ย้ำชัดเจนในหัวใจให้ได้ยินแม้จะไม่มีผู้ใดเปล่งเสียงพูดออกมาเลยก็ตาม
…จองซูจากเขาไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันจะได้กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว…
ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้
เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอตลอดมา
ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า…ฉันยังรักเธอ
ดอกไม้สีขาวที่เป็นตัวแทนของการพบเจอกันในครั้งแรกระหว่างเขาและจองซูยังคงวางนิ่งอยู่ตรงข้างกายตรงนั้นแม้ว่าคนที่เป็นผู้วางมันลงไปจะละสายตาออกมาจากกลีบบางสีขาวสะอ้านตานั่นแล้วก็ตาม
มาจนถึงวันนี้ที่ยองอุนตัดสินใจละทิ้งตึกสูงระฟ้ากลางกรุงโซลมาเพื่อรับอาสาบริหารรีสอร์ทของเพื่อนที่เขาคัดค้านความคิดแทบเป็นแทบตายในตอนแรกกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาเลือกให้กับชีวิตการทำงานของตัวเอง ชีวิตการทำงานที่ไม่ว่าใครก็มองว่าไม่เหมาะกับคิมยองอุนคนนี้เป็นที่สุด
…เหมือนกับสีขาวของผ้าพันคอที่ตัดกันกับสีดำของเสื้อโค้ตตัวใหญ่ที่เขากำลังสวมใส่มันอยู่ ณ ตอนนี้…
และแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าไร่ดอกไม้ของคุณยายที่จองซูเคยพูดถึงนั้นตั้งอยู่ที่ใด แต่เขาก็รู้ดีอีกเช่นกันว่าต่อให้ดั้นด้นไปเฝ้ารอคอยอยู่ที่นั่นเนิ่นนานสักเพียงใด คนที่เขาอยากพบหน้าหนักหนาก็จะไม่มีวันเดินออกมาหาเหมือนนิยายรักโรแมนติกอย่างแน่นอน ดังนั้น สิ่งเดียวที่ยองอุนทำได้จึงมีเพียงแค่การเดินมานั่งพักสมองจากการทำงานที่นี่เสมอทุกวันพร้อมกับดอกไม้สีขาวในมือดอกเล็กๆที่แม้ว่าอาจจะถูกลมหอบหายไปในทุกวัน หากมันก็ยังคงมีดอกใหม่มาทดแทนในวันต่อๆไป
ทดแทน…ให้กับความระลึกนึกถึงที่เขามีให้แก่จองซูอยู่เสมอ ทุกเวลานาทีแม้ว่าจองซูจะไม่อยู่กับเขาแล้วก็ตาม
ด้วยความหวังในใจ หวัง…แค่สักนิดว่าอาจจะมีวันใดที่โชคดีที่อาจจะได้พบเจอกันอีกครั้ง
ตอนนี้พี่จะอยู่ที่ไหนนะจองซู ?? จะตั้งใจลืมผมไปเลยจริงๆอย่างนั้นหรือเปล่า ??
พี่จะรู้บ้างไหมว่าหัวใจของผมที่พี่มองไม่เห็นค่าของมันอีกต่อไปแล้วมันยังคิดถึงพี่มากมายขนาดไหน ยัง…รัก…เพียงแต่พี่มากมายสักเท่าไร ??
อยากเจอเธอเหลือเกิน
เพราะก่อนที่เราต้องเดินแยกทาง
ฉันมีความคิดหลายๆอย่าง
หลายอย่างเหลือเกินที่ฉันไม่ได้พูดไป
หลังจากวันที่ยองอุนได้พบกับจองซูในวันนั้นก็ยังมีเรื่องให้เขาต้องแวะเวียนกลับไปยังที่ดินแถบชานเมืองที่กำลังจะถูกสร้างเป็นรีสอร์ทนั้นอยู่เสมอไม่ว่าจะแวะเวียนไปโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ดังนั้น โอกาสที่ยองอุนจะได้พบกับจองซูจึงมีบ่อยเสียยิ่งกว่าโอกาสที่ยองอุนจะปลีกเวลาไปเยี่ยมเยียนเพื่อนๆที่ผับประจำซึ่งเขาเคยเดินเข้าออกไม่เว้นคืน
การที่ได้เจอหน้ากันทุกวันนั้น แม้ว่าจะมั่นใจอย่างยิ่งว่าไม่ได้ทำให้ยองอุนเปลี่ยนมุมมองของตนว่าผู้ชายดีกว่าผู้หญิง แต่ก็เพราะรอยยิ้มอ่อนที่ได้รับเสมอยามที่ได้พบหน้าหรือเพราะกระแสเสียงนุ่มนวลที่ได้ฟังทุกครั้งยามเมื่อสนทนากัน กลับทำให้ยองอุนรู้สึกว่าแม้ว่าผู้ชายอาจจะไม่มีอะไรดีกว่าผู้หญิงก็จริงอยู่ แต่ปาร์คจองซูคนนี้กลับไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆตามความคิดของชายหนุ่มเลย
เขา…คงจะเริ่มหลงรักรอยยิ้มสวยนั่นเข้าเสียแล้วกระมัง
.
.
.
“จองซู…ผม เวลาที่ผมอยู่กับพี่…จริงๆนะ ผมรู้สึกว่ามันสบายใจจนแทบจะไม่อยากจากไปไหนเลย” คำพูดแฝงด้วยความนัยที่ไม่ได้ตั้งใจให้หลุดออกจากปาก ท้ายที่สุดก็หมดความสามารถในการควบคุมให้มันดังอยู่แต่ภายในใจเงียบๆเท่านั้น ยองอุนพลั้งพูดออกไปแทรกบทสนทนาโดยไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของคนฟังเสียด้วยซ้ำ
“…”
“…”
เงียบงันกันไปครู่หนึ่งจนชายหนุ่มนึกอยากจะตบปากตัวเองที่ทำเสียเรื่อง หากเสียงหวานของคนข้างกายก็กลับดังขึ้นในตอนท้าย
“งั้นเหรอ…” ท้ายเสียงทอดอ่อนจนคนฟังยิ่งใจเสีย หากเพียงแค่คนร่างสูงจะมีความกล้าที่จะหันกลับไปมองสักนิด ก็คงจะได้เห็นว่านวลแก้มของอีกฝ่ายนั้นจับสีเรื่อเพียงใด
“…ถ้าอย่างนั้นก็…ไม่ต้องไปไหนสิ”
“”อืม ไม่ไป” น้ำเสียงเหงาหงอยเพราะคิดว่าคงถูกปฏิเสธพูดทวนอย่างไร้สติ หากแต่เมื่อสมองประมวลผลได้เรียบร้อย ใบหน้าคร้ามคมจึงได้สะบัดไปมองคนที่นั่งยิ้มสบายๆรับสายลมเย็นอยู่เคียงกันในทันที “พี่…พูดว่าอะไรนะ พี่หมายความว่าไง”
“แล้วนายตั้งใจจะหมายความว่าอะไรล่ะ”
.
.
.
บทสนทนาที่มีเพียงแค่ไม่กี่ประโยคกลับกลายเป็นเครื่องแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ของทั้งยองอุนและจองซูไปมากมายนับจากวันนั้น สายสัมพันธ์ที่ค่อยถักทอขึ้น คงจะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกันโดยบังเอิญนั้นได้ร้อยรัดให้คนทั้งคู่ผูกพันกันมากขึ้นทุกที ความผูกพันที่มีมากเสียจนปาร์คจองซูยอมรับคำต่อว่าจากที่บ้านเพื่อจะย้ายเข้ามาอยู่ในโซลกับคิมยองอุน
บ่ายวันหนึ่งของฤดูหนาว…
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ดึงให้คนตัวใหญ่จอมเกียจคร้านที่ยึดเอาตักของคนตัวเล็กกว่าจำต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ ชื่อและเบอร์ที่โชว์หราอยู่ตรงหน้าจอทำให้จองซูลอบยิ้มขณะเอ่ย
“เพื่อนที่วงเหล้าของนายไม่ใช่เหรอยองอุน สงสัยวันนี้พี่คงต้องกินข้าวเย็นคนเดียวแล้วล่ะมั้ง”
ยองอุนหัวเราะชอบใจในคำพูดแกมประชดของคนที่ดูจากท่าทางภายนอกแล้วเหมือนจะไม่คิดอะไรมากนั้น มือใหญ่ละเลยที่จะกดรับสายเพราะที่วางของมันก็คือรอบเอวบางของคนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาวด้วยท่วงท่าราวกับไม่ได้มีเรื่องใดให้ตนต้องสนใจมากไปกว่ารายการทีวีที่ดูค้างอยู่
เสียงทุ้มออดอ้อนไม่ดังนักขณะเอนตัวไปพิงคนที่แอบน้อยใจเงียบๆเอาไว้ “อะไรกัน ใครบอกพี่หรือไงว่าผมเห็นว่าเจ้าเพื่อนสำมะเลเทเมาพวกนั้นสำคัญกว่าพี่น่ะ วันนี้วันสำคัญของเรา ผมจะกล้าปล่อยให้พี่นั่งกินข้าวคนเดียวได้ยังไง”
วันสำคัญของเรา…วันครบรอบวันที่เราได้พบกันเป็นครั้งแรก
มองตามท่าทางขี้อ้อนที่ไม่เหมาะสมกับขนาดตัว คนที่ตั้งใจจะวางมาดขรึมก็กลับส่งเสียงหัวเราะออกมาจนได้ จองซูยอมเอ่ยตอบกลับไป “โอเค…โอเค…พี่สำคัญกว่าก็สำคัญกว่า แต่นายก็โทรกลับไปหาเพื่อนหน่อยสิ คุยกันให้รู้เรื่อง เงียบไปแบบนี้เดี๋ยวเค้าก็เป็นห่วงกัน”
“พี่ไม่โกรธแล้วใช่ไหม งั้นพี่รอผมแป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมโทรกลับไปเคลียร์กับเจ้าพวกนั้นก่อน อย่างนี้มันต้องด่าสักหน่อยแล้ว โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลย” แสร้งบ่นพึมพำเรียกรอยยิ้มจากคนอายุมากกว่าได้นิดหน่อยก่อนจะกดโทรกลับไปหาเพื่อน
“เออ…ว่าไง โทรมามีอะไรด่วน”
…โห เพิ่งรู้ว่าถ้าไม่เร่งด่วนเดี๋ยวนี้จะโทรหาไม่ได้แล้วนะอ้วน…
“ให้มันน้อยๆหน่อย ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าจะเมาก็ไม่ต้องโทรมาชวน ไม่ไปเว้ย”
…แหม พอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนล่ะเป็นคนดีขึ้นมาเลยนะ ขอโทษทีเหอะที่ต้องทำให้กลับมาเป็นคนเลวอีกครั้งน่ะ แต่วันนี้มีฉลองดงซอนจะสละโสดว่ะ มาหน่อยไม่ได้หรือไง…
“ให้เวลาตั้งนานไม่สละ มาวันนี้จะสละ แต่ก็คงไปไม่ได้หรอกว่ะ ฝากขอโทษดงซอนด้วยนะ”
…เฮ้ย พูดง่ายๆแบบนั้นได้ไงล่ะ เพื่อนสนิทนะเว้ยที่จะแต่งงานน่ะ ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ทำไมวะ พี่จองซูเค้าไม่อนุญาตให้มาเหรอ…
“ก็ไม่ใช่…”
…เออ งั้นก็มาหน่อยเหอะ สักแป๊บก็ยังดี มาอวยพรเพื่อนมันหน่อย…
“เฮ้อ…เออ ก็ได้วะ แต่แค่ชั่วโมงเดียวนะเว้ย วันนี้มีนัดกับพี่จองซูด้วย กี่โมงว่ามา”
ยื่นเวลาพร้อมสถานที่นัดเสร็จสรรพนิ้วยาวจึงกดตัดสายทิ้งไปด้วยสีหน้าแห้งเหี่ยวกว่าเดิม ก็จากที่ตั้งใจจะโทรไปปฏิเสธกลับกลายเป็นการตอบรับเสียได้ จองซูมองท่าทางแบบนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา
“เป็นอะไรไป ทำหน้าตาแบบนั้น ไม่ดีใจหรือไงที่เพื่อนโทรมานัดน่ะ”
“ก็…ผมไม่อยากไปเท่าไหร่ เจ้าพวกนี้มันชอบชวนเมาจนเช้า เข้าแล้วออกยาก” สีหน้าแหยๆถูกส่งมาให้คนฟังได้หัวเราะเล่น
“ไปนั่นแหละดีแล้ว เพื่อนจะแต่งงานแล้วไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวพี่รอกินข้าวเย็นด้วยกัน มื้อค่ำก็ได้ นัดเพื่อนไว้กี่โมงล่ะ”
“ก็…ทุ่มนึง งั้นพี่รอผมไม่เกินสามทุ่มผมจะกลับมาหา โอเค๊…” ยื่นนิ้วก้อยมาให้เป็นการสัญญาเสียอีก
จองซูยกนิ้วเล็กๆขึ้นเกี่ยวตอบ “โอเค พี่จะรอ งั้นก็ไปแต่งตัวเถอะไป นี่ก็จะหกโมงแล้ว จะได้รีบไปรีบกลับ”
คนตัวสูงกว่าพยักหน้ารับก่อนจะโฉบปลายจมูกมาแตะแก้มเนียนด้วยความไวเกินจะหลบทัน เสียงทุ้มพูดรัวทิ้งท้ายไว้แล้วผลุบหายเข้าห้องนอนไป ทิ้งคนที่ถูกขโมยหอมแก้มให้นั่งหน้าแดงอยู่ที่เดิม
“ครับผม งั้นพี่ต้องอย่าลืมรอผมนะ วันนี้ผมมีเรื่องจะเซอร์ไพรส์พี่ด้วยรู้ไหม”
ผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วโมง…
แก้วเหล้าที่คิดว่าจะไม่แตะอีกแล้วนับตั้งแต่ที่จองซูเคยออกปากกับเขาว่าไม่ชอบกลิ่นเหล้ากลับมาพร่องลงในมือหนาอีกครั้ง เสียงหัวเราะสรวลเสตามประสาผู้ชายทั้งกลุ่มดังขึ้นที่มุมหนึ่งของผับที่อึกทึกไปด้วยเสียงดนตรี
ยองอุนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง เพ่งผ่านความมืดจึงได้พบว่าขณะนี้เลยเวลาสองทุ่มมาได้พักหนึ่งแล้ว ใบหน้าคมเงยขึ้นมองบรรดาเพื่อนฝูงในวงสนทนาอีกครั้ง ท่ามกลางสายตารู้ทันจากทุกคนที่นั่งอยู่ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น “เฮ้ย คงต้องกลับแล้วว่ะ มึนๆอย่างนี้จะขับรถคงต้องใช้เวลากันหน่อย”
“เฮ้ย…จะรีบกลับไปไหนล่ะ อยู่ต่ออีกนิดนึงสิ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เพื่อนจะแต่งงานทั้งที มาอวยพรแค่นี้แล้วก็จะไปเหรอว้า…”
เป็นไปตามคาดที่จะต้องมีใครขัดคอไม่ยอมให้กลับ แต่ยองอุนก็ไม่ยอมง่ายๆเช่นกัน ร่างสูงโต้กลับ “เงียบปากไปเลยดีกว่ายองมิน เจ้าของงานแต่งงานยังไม่ว่าสักคำ”
“แต่ยองมินก็พูดถูกนะ ฉันว่าอย่าเพิ่งกลับเลย อยู่อีกนิดไม่ได้เหรอวะ” คราวนี้เป็นเจ้าของงานแต่งเรียกร้องเอง คนฟังจึงได้แต่น้ำท่วมปาก จำต้องยอมนั่งเงียบๆแล้วดื่มกินกันต่อไป
หลังจากนั้น ยองอุนก็ยังคงถูกล็อกตัวให้นั่งอยู่ที่เดิมอยู่นั่นเองแม้ว่าจะเลยเวลานัดที่ได้ตกลงกับจองซูไปนานแล้วก็ตาม หากแต่เมื่อคนแสดงเจตนาจะขอกลับเป็นดงซอนเจ้าของงานแต่งงาน เพื่อนทั้งกลุ่มกลับอนุมัติกันด้วยมติที่เป็นเอกฉันท์ ปล่อยตัวให้เป็นอิสระไปได้ท่ามกลางความสงสัยแกมโมโหของยองอุนที่พยายามจะขอลุกตามออกไป แต่เมื่อหางตาคมเหลือบไปเห็นสาวๆที่เขาจำได้ว่าเคยมานั่งดื่มกับเพื่อนกลุ่มนี้เดินตรงมาจึงได้เขาใจ
ใบหน้าคมหันไปหาเพื่อนที่ยังเหลืออยู่ “อ้อ…สรุปว่าที่กักตัวไว้นี่เพราะสาเหตุนี้ใช่ไหม”
“เฮ้อ…เพื่อนเราเว้ย เพิ่งจะฉลาดว่ะ ฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวงสร้างอารมณ์ฉุนเฉียวได้ไม่ยาก
“เออ งั้นขอโง่จนถึงวินาทีที่แล้วพอ เพราะฉันจะกลับแล้วเว้ย” ว่าพลางยันตัวขึ้นจากเก้าอี้บุนวมนิ่มที่ยึดครองมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าเดินจากไป เสียงหวานใสของหญิงสาวที่จำได้ดีก็ดังขึ้นเสียก่อน
“อ้าว วันนี้ยองอุนยอมออกมาด้วยเหรอ แล้วนี่อะไรกัน พอพี่มาก็จะกลับเลยหรือไง”
“รุ่นพี่…”
จองซูเงยหน้ามองนาฬิกาติดผนังเป็นรอบที่เกือบร้อย แม้ว่าเขาจะนัดเวลา “มื้อค่ำ” ของเขากับยองอุนไว้ตอนสามทุ่มแล้วเลทให้ถึงสี่ทุ่มก็ตาม แต่เข็มนาฬิกาที่เห็นอยู่ตอนนี้นั้น เข็มยาวของมันแทบจะจรดอยู่ตรงเลขสิบสองพร้อมกับที่เข็มสั้นวนไปจนถึงเลขสิบเอ็ดแล้ว
…ห้าทุ่ม…
เลทไปสองชั่วโมง…
มือบางฉวยเอาถุงกระดาษใบเล็กที่วางไว้ข้างกายมาเปิดออกดู ผ้าพันคอสีขาวนอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น ผ้าผืนที่เขาตั้งใจออกไปหาซื้อมาให้ยองอุนและซ่อนเอาไว้เสียนาน ทั้งที่คิดว่าวันนี้ควรจะเป็นวันที่ได้มอบมันให้กับคนที่เคยบอกว่าไม่ชอบสีขาวจริงๆคนนั้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าผ้าพันคอผืนนี้คงไม่ได้ถูกส่งให้ด้วยรอยยิ้มสดใสอีกแล้วละมัง เพราะตอนนี้จองซูเริ่มจะเป็นห่วงระคนหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้วกับโทรศัพท์มือถือที่ดูจะติดต่อไม่ได้สักทีของอีกคน
ดังนั้น หลังจากที่อดทนรออยู่ได้พักใหญ่ คนร่างบางจึงได้ตัดสินใจกดโทรออกไปหาเบอร์ของเพื่อนคนที่ยองอุนพูดชื่อเมื่อตอนเย็น
…คิมดงซอน…
รอเพียงไม่นานนัก ปลายสายก็กดรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อมที่บอกได้ว่าเจ้าเด็กคนนี้คงสร่างเมานานแล้ว
…ครับ พี่จองซู…
“ดงซอนอา…นายยังอยู่กับเพื่อนๆหรือเปล่า”
…อ่อ เปล่าครับพี่ ผมขอแยกออกมาพักนึงแล้ว ไอ้ยองอุนยังไม่กลับมาเหรอครับ…
“ก็…อื้อ พี่เห็นว่าเลยเวลามานานแล้วเลยเป็นห่วงน่ะ แต่ถ้านายไม่ได้อยู่กับเพื่อนก็ไม่เป็นไร พี่ไม่รบกวนนายแล้วดีกว่า”
…ครับ ครับ เอ่อพี่จองซู ผมว่าผมบอกผับที่เจ้าพวกนั้นอยู่ให้พี่ตามไปเลยดีกว่า เผื่อเจ้าพวกบ้านั่นจะเล่นพิเรนทร์ๆจนยองอุนมันเมาแอ๋กลับบ้านไม่ได้…
“อา…อย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นก็ได้ เค้าอยู่ที่ไหนกันล่ะ…”
ต่างคนต่างก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปคนละทางเมื่อข้างกายของตัวเองมีผู้หญิงให้คุยเล่นเป็นเพื่อนแล้ว จะเหลือก็แต่ยองอุนกับหญิงสาวผมยาวเจ้าของนัยน์ตาทอประกายสุกใสที่ยองอุนเคยชอบนักก่อนที่จะได้รู้จักกับจองซูเท่านั้น
ความเงียบงันลอยตัวคว้างระหว่างคนทั้งคู่เมื่อชายหนุ่มร่างสูงหวนรำลึกถึงอดีตที่เคยมีร่วมกับรุ่นพี่หน้าหวานคนนี้ คำว่า “แฟน” จากเพื่อนๆในกลุ่ม ดูจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้เพื่อนิยามความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองในช่วงเวลานั้น หากแต่ก็กลับมีเรื่องที่ทำให้หญิงสาวจำต้องตีจากเขาไปโดยไม่มีคำอำลาหรืออธิบายให้เข้าใจ เป็นการจบความสัมพันธ์ที่แย่จนยองอุนไม่อยากจะคิดถึงมันอีก
แต่วันนี้ จู่ๆรุ่นพี่ที่เคยเป็นมากกว่าพี่น้องกลับปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันเร็ว…จนยองอุนไม่ทันได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าเลย
ความเงียบที่โรยตัวอยู่ท่ามกลางคนทั้งสองคงอยู่ได้ไม่นานนักเมื่อหญิงสาวเป็นฝ่ายทำลายมันลงในที่สุด “พี่…อยากจะขอโทษยองอุนกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น พี่…”
“ช่างมันเถอะครับ” เสียงทุ้มพูดตัดบทไปก่อนที่นัยน์ตาคมจะจ้องมองตอบกลับอีกฝ่ายอย่างมั่นคงและแน่วแน่ “มันก็แค่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้รุ่นพี่ก็มีคนที่รัก ผมเองก็ไม่ใช่คนโสดที่ต้องมานั่งเศร้าเสียใจเหมือนเมื่อตอนนั้น”
“หมายความว่ายองอุนมีแฟนแล้ว ??” เธอยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่ชายหนุ่มร่างสูงต้องการ น้ำเสียงที่ถามดูเย้าแหย่และชวนให้ผ่อนคลายมากขึ้นในทีเมื่อบทสนทนาไม่ใช่เรื่องที่ชวนเครียดอีกต่อไป
ใบหน้าคมวาดรอยยิ้มเมื่อนึกไปถึงภาพของแฟนที่รุ่นพี่ถามถึง “ครับ มีแล้ว… แฟนของผมเป็นคนน่ารัก แถมชอบทำใจกว้างอย่างกับทะเลทั้งที่ในใจน่ะโกรธแทบแย่”
“ดูหน้าตายองอุนตอนพูดถึงแฟนจะมีความสุขมากเลยนะ รักกันมากล่ะสิ”
“รักมาก…ใช่ครับ”
“แล้วถ้างั้นทำไมวันนี้ยอมออกมาได้ล่ะ พี่ได้ยินว่าหลังจากที่ยองอุนคบกับแฟนคนนี้แล้วก็ไม่ได้ออกมาเที่ยวอีกเลยไม่ใช่เหรอ” เธอถามพลางยกแก้วคอกเทลสีสวยขึ้นจิบ
“ก็เจ้าพวกนั้นมันจะมาฉลองให้ดงซอนแล้วก็ชวนผมมา ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เพราะกับดงซอนแล้วก็เจ้าพวกนั้นก็สนิทกันมานาน”
“อืม อย่างนี้นี่เอง นี่คงจะอยากกลับไปหาแฟนแทบขาดใจแล้วสิ”
ยองอุนหัวเราะ “ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าผมไปตอนนี้จริงรุ่นพี่ก็ต้องนั่งอยู่คนเดียวใช่ไหมล่ะครับ”
เสียงใสหัวเราะตามไปด้วย “แหม เป็นคนดีจริงๆนะ แล้วนี่โทรไปบอกแฟนแล้วรึยังล่ะว่ายังกลับไม่ได้เพราะอะไร เดี๋ยวเค้าก็เป็นห่วงแย่”
“โทรได้ก็ดีสิครับ เจ้าพวกนั้นเล่นยึดมือถือผมไปชำแหละแล้วมั้งนั่นน่ะ ป่านนี้ไม่รู้รอเซอร์ไพรส์ของผมจนหลับไปรึยัง” ประโยคสุดท้ายบ่นไม่เต็มเสียงนักก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นจรดปาก
หญิงสาวข้างกายแสดงอาการล้อเลียนทันทีที่ได้ยินคำว่าเซอร์ไพรส์จากรุ่นน้องตัวสูง “เซอร์ไพรส์อะไรกัน ไหนเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม”
ดวงตาคมเหลือบมองก่อนจะเผยยิ้ม “ก็…แค่จะขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไปเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรพิเศษขนาดนั้นหรอกครับ”
“ว้าว…ไม่พิเศษได้ยังไงยองอุน นี่ถ้าตามความเข้าใจของพี่มันเรียกว่าขอแต่งงานนะ เรื่องใหญ่มากๆเลยด้วย ยองอุนได้ลองปรึกษาใครรึยัง แล้วลองซ้อมพูดบ้างรึยัง”
คนฟังหัวเราะร่วนกับท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กๆของรุ่นพี่หน้าสวย “ไม่เห็นจะต้องซ้อมเลยนี่ครับ”
“ได้ยังไงล่ะ ของแบบนี้มันพลาดกันไม่ได้นะ พูดได้ก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้นด้วย ไหนๆๆ ไหนลองซ้อมพูดกับพี่ก่อนซิ ให้พี่ช่วยเช็คความเรียบร้อยให้ก่อน”
ชายหนุ่มมองทีท่าอาการอยากรู้นั้นแล้วก็ให้หลุดขำ “อยากรู้จริงๆเหรอครับรุ่นพี่”
“เอ๊…อยากรู้สิถึงได้เซ้าซี้อยู่นี่ไง เร็วเข้าสิยองอุน พอพูดกับพี่จบแล้วพี่จะไปเอามือถือมาให้แล้วแถมส่งยองอุนออกจากร้านไปหาแฟนให้เลย เร็วๆสิ เอาให้เหมือนเลยนะ ซ้อมใหญ่ๆ”
“ครับ ถ้างั้นก็ได้” เสียงกลั้วหัวเราะที่เจืออยู่ในคำตอบรับมลายหายไปในทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของดวงตาคมดุเอื้อมมือออกไปวางทับลงบนหลังมือเรียวของคนที่นั่งอยู่ข้างกันแผ่วเบา เสียงทุ้มยามเอื้อนเอ่ยมีจังหวะจะโคลน น่าฟังเป็นยิ่งนัก
“พี่ครับ…ผมไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่เราคบกันมามันจะทำให้พี่รู้สึกมีความสุขได้เท่ากับที่ผมรู้สึกไหม แต่สำหรับผมแล้ว นอกจากจะต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้มาพบกัน ก็คงจะต้องขอบคุณพี่ที่ยอมตกลงจะคบกับผมในวันนั้น ผมมีความสุขมากๆเสมอเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆกับพี่ และผมก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นตลอดไป พี่…จะช่วยอยู่ข้างผมไปจนกว่าจะถึงวันที่เราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตายจากกันไป…จะได้ไหมครับ”
ความเงียบงันลอยตัวคว้างระหว่างคนพูดและคนฟัง ถ้อยคำเปี่ยมความหมายที่กลั่นกรองออกมาจากใจดังผ่านริมฝีปากหวังให้คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าช่วยฟังให้ก่อนที่จะกลับไปพูดให้คนที่ตนรักที่สุดได้ฟัง หากแต่ความเงียบนั้นก็กลับถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงนุ่มแสนคุ้นเคยที่แม้ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ หากแต่ก้องอยู่ทุกอณูของคนที่ได้ยิน
“ยองอุน…”
เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาจากด้านหลังบาร์ที่เขาและรุ่นพี่สาวเลือกมานั่งคุยกันเรียกให้สายตาของเจ้าของชื่อหันไปตามทิศทางของเสียงแล้วก็ต้องพบกับร่างบอบบางของคนที่น่าจะรอเขาอยู่ที่บ้านยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตามด้วยใบหน้าจืดเจื่อนของบรรดาเพื่อนพ้องที่ติดตามมาข้างหลังอีกทอดหนึ่ง
ยองอุนผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทรงสูงเช่นเดียวกับหญิงสาวที่เฝ้ารบเร้าจะฟังคำขอแต่งงานของเขาเมื่อครู่ เสียงทุ้มเสียงเดียวกันเปล่งเรียกชื่อเจ้าของเรือนร่างบอบบางในชุดที่ไม่ได้กันลมหนาวจากภายนอกได้สักเท่าไรตรงหน้า สะดุดราวกับเป็นคนละเสียงกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“พี่…จองซู”
“พี่รีบออกมาเพราะกลัวว่านายจะเมาไม่รู้เรื่อง ว่าจะมาพากลับไปด้วยกัน” เสียงนุ่มเอ่ยจุดประสงค์ของตัวเองแจ้งชัดแก่คนที่ยืนนิ่งอึ้งไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาตอบได้ในตอนนี้
แววตาหวานที่ทอประกายความอบอุ่นอยู่เสมอยามได้มองสบตาแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาที่ลึกเกินจะหยั่ง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของน้ำตาที่จะแสดงออกถึงความเสียใจ หากกระนั้น คิมยองอุนกลับตระหนักได้ ปาร์คจองซูได้ยินทุกคำพูดของเขาและได้เห็นทุกการกระทำ และคงจะเสียใจ…เสียใจเป็นที่สุด
“แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมาขัดจังหวะการขอแต่งงานของนาย…กับคุณผู้หญิงแสนสวยคนนี้” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยต่อราวกับหัวใจทั้งดวงไม่มีความรู้สึกใด ซ้ำยังหันไปก้มศีรษะให้กับรุ่นพี่ที่ยืนอึ้งไม่ต่างไปจากยองอุนเสียอีก “พี่ขอโทษที่มาขัดนะ…”
“จองซูอา…พี่กำลังเข้าใจผมผิด” น้ำเสียงเหนื่อยล้าไม่รู้จะจับต้นชนปลายอธิบายตรงไหนก่อนดังขึ้นจากยองอุนในที่สุด หากแต่มัน…เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่อเสียงที่ตอบกลับมามีเพียงแค่
“พี่ขออวยพรให้นายโชคดี มีความสุขอย่างที่นายอยากจะมีตลอดไปนะ…”
รวบรัดคำอวยพรเสร็จสรรพคนร่างบางก็หมุนตัวกลับแล้วก้าวเดินออกจากที่ตรงนั้นไปโดยไม่มีใครแม้สักคนกล้าก้าวเท้าออกมาขวางทางไว้ และก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะคลาดสายตาไป ยองอุนก็รุดเดินตามออกไปโดยไม่ทันได้ฟังแม้แต่คำขอโทษของใครต่อใครที่ดังขึ้นรอบกายเลยสักคน
สายตาคมไล่ไปตามทางเท้าที่ตัดผ่านหน้าผับได้พักหนึ่ง แผ่นหลังของคนที่เดินหนีออกมาก่อนก็ปรากฏสู่สายตา ขายาวก้าวเร็วๆตามหลังไปจนกระทั่งประชิดร่างบอบบางของคนรักพร้อมกับที่รวบคนตัวเล็กกว่าในชุดบางแสนบางนั้นไว้ในอ้อมแขน
“จองซู…อย่าเดินหนีผมไปแบบนี้เลย ฟังกันก่อนเถอะนะ”
“ปล่อยพี่เถอะยองอุน” น้ำเสียงมั่นคงดุจเดิมดังขึ้นจากคนในอ้อมกอดพร้อมแรงขืนตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“พี่ใส่เสื้อก็บางเท่านี้ ไม่หนาวหรือไงกัน” พยายามจะดึงเอาความห่วงใยที่มีเป็นเครื่องรั้งให้คนตัวเล็กกว่าใจอ่อน หากก็คงจะไม่เป็นผลเมื่อจองซูสะบัดตัวหลุดออกจากพันธนาการนั้นได้ เจ้าของใบหน้าหวานที่แสนรักหันกลับมาประจันหน้ากันอีกครั้งด้วยแววตาไร้ความรู้สึกเช่นเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน
“พี่นั่งรอนายที่บ้านอยู่สองชั่วโมงแล้วและก็กลัวว่านายจะกลับบ้านไม่ไหวถึงได้ออกมา หนาวแค่นี้จะทำอะไรพี่ได้ แต่พอมาถึงที่นี่ ได้มาฟังคำพูดของนายเมื่อกี้ถึงได้รู้… ว่าการที่พี่ทนหนาวออกมาตามหานายถึงข้างนอกมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”
“จองซู…มันไม่ใช่แบบที่พี่คิดเลยนะ” คำแก้ต่างลุ่มๆดอนๆที่เขาเคยด่าว่าพระเอกนางเอกในละครนักหนากลับเป็นสิ่งที่ยองอุนเลือกจะนำออกมาใช้เมื่อเกิดเรื่องทำนองเดียวกันขึ้นกับตัวเอง แต่กับแค่คำว่าไม่ใช่อย่างที่คิดมันก็ไม่ได้มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเปลี่ยนแววตาเยียบเย็นยิ่งกว่าอากาศหนาวยามดึกของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้เลย
“อย่างนั้นเหรอ…แต่พี่ก็มีความจริงจะบอกให้นายรู้เหมือนกันนะยองอุน พี่ได้รับคำชวนจากที่บ้านมาพักนึงแล้วว่าให้ไปเรียนต่อเมืองนอกแทนที่จะมานั่งอยู่ว่างๆ แล้วก็คิดมาตลอดว่าควรจะบอกนายตอนไหนดี แต่วันนี้คงเหมาะที่สุดแล้วที่จะบอกกับนาย พี่จะไปเร็วที่สุดแน่นอน ไม่ต้องกังวลว่าคุณผู้หญิงคนนั้นที่ไม่ว่าเขาจะเป็นเจ้าสาวของนายมาจากไหนจะต้องมาเข้าใจผิดอีก เพราะเราก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ลาก่อนนะยองอุน” ว่าเสียยืดยาวด้วยถ้อยคำที่คนฟังไม่ได้ต้องการแม้แต่น้อยก่อนจะหันหลังเดินจากไปช้าๆ
“จองซูอา…ผมกับรุ่นพี่คนนั้นไม่ได้จะแต่งงานกันเลยนะ พี่หยุดฟังผมก่อนเถอะ ไหนพี่เคยบอกว่าเชื่อในความดีในตัวของผมไม่ใช่เหรอ จองซู…”
ส่งเสียงไล่หลังอย่างหมดหวังเมื่อเจ้าของชื่อจองซูที่เฝ้าเรียกรั้งนั้นไม่ได้แม้แต่จะหันกลับมามองอีกเลย แต่หากเพียงแค่ยองอุนจะเดินไปรั้งร่างของอีกฝ่ายเอาไว้อีกครั้งก็คงจะได้เห็นว่าความอ่อนแอที่เฝ้าเก็บกลั้นมานานได้พังทลายลงเช่นไร หยดน้ำตามากมายบนดวงหน้าหวานได้กลั่นออกมาจากความเสียใจมากเพียงใด
เสียใจ…เพราะปาร์คจองซูโกหก
ปาร์คจองซูไม่เคยดีใจที่คิมยองอุนจะต้องเป็นของใครคนอื่น
ปาร์คจองซูไม่เคยอยากจะจากคิมยองอุนไปอย่างไม่มีวันจะได้พบกันอีกแบบนี้
ปาร์คจองซูไม่ได้แม้แต่จะได้รับคำชวนจากใครให้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศทั้งนั้น
ปาร์คจองซูโกหกทั้งหมดทุกคำ เว้นก็แต่เพียงคำพูดแผ่วเบาตอบคำถามที่ไล่หลังมาของคิมยองอุนเมื่อกี้นี้
“พี่…คงไม่สามารถเชื่อในความดีในตัวนายได้อีกต่อไปแล้วยองอุน พี่ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”
แต่กลับมานึกขึ้นได้ในเวลานี้
ในเวลาที่เธอเดินจากฉันไปแสนไกล
หากเธอนั้นยังอยู่ จะกอดเธอให้ชื่นใจ
และค่อยพูดออกไป ทุกสิ่งที่อยู่ในใจฉัน
และแม้ว่ายองอุนจะอยากอธิบายให้คนที่หันหลังเดินจากกันไปเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดมากมายเพียงใด อยากจะเข้าไปกอดรั้งคนตัวเล็กกว่าไว้มากมายเพียงไหน แต่จากทีท่าอาการที่แสดงการปฏิเสธอย่างชัดเจนเมื่อครู่ก็บอกชัดว่าคนที่กำลังเข้าใจผิดจะไม่มีทางยอมรับฟังอีกต่อไปไม่ว่าเหตุผลของเขาจะดีเลิศเลอสักเพียงไหนก็ตาม
ดังนั้น สิ่งที่ชายหนุ่มทำหลังจากที่จำต้องเฝ้ามองการเดินจากไปของคนที่เป็นที่รักยิ่งอย่างช้าๆโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยก็คือการกลับเข้าไปในผับแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อไปเอาเครื่องมือสื่อสารของตนกลับคืนมาจากเพื่อนและเดินทางกลับบ้านที่ ณ บัดนี้เหลือผู้อาศัยอยู่เพียงแค่คนเดียวโดยที่สมองไม่ได้รับรู้และจดจำภาพใดๆอีกเลย
คำขอโทษราวกระแสธารไหลหลั่งพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่าที่เพื่อนๆรวมหัวกันกักตัวเขาไว้เช่นนั้นเพียงเพราะต้องการให้เขาได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกับรุ่นพี่ที่เคยจากกันอย่างไม่น่าจดจำคนนั้น แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้
“…ไม่เป็นไร..ฉันเข้าใจ ไม่เป็นไร” จึงเป็นเพียงสิ่งที่ชายหนุ่มเฝ้าพูดวนย้ำไปมาก่อนที่จะปลีกตัวจากมา
หลังจากวันนั้นมา คิมยองอุนถึงได้รู้ว่าปาร์คจองซูเป็นคนพูดจริงทำจริงได้มากเพียงไหน เมื่อคนร่างบางไม่เคยกลับมาให้ได้เห็นหน้าอีกเลย แม้แต่เสื้อผ้าที่แขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าที่บ้านของทั้งคู่ที่อาศัยอยู่ร่วมกันมาตลอดก็ยังคงอยู่ครบถ้วนทุกตัว เช่นเดียวกับข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ไม่มีอะไรเลยสักอย่างที่ขาดหายไป มีเพียงคนสำคัญที่สุดเท่านั้นที่ได้จากเขาไปแล้ว…จากไปตลอดกาลอย่างที่เจ้าตัวได้ประกาศไว้
แต่นอกเหนือไปจากข้าวของที่ไม่สำคัญเหล่านั้น กลับยังมีของอยู่ชิ้นหนึ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนที่ยิ่งกว่าสำคัญยังคงวางนิ่งอยู่ในบ้าน บนโต๊ะกระจกตัวเล็กในส่วนนั่งเล่นที่ดูท่าว่าจองซูคงยังไม่ได้เอามันไปเก็บให้เรียบร้อยเพราะรีบออกมาตามหาเขาข้างนอก
ของสิ่งนั้นก็คือ…ผ้าพันคอสีขาวบริสุทธิ์ที่ยองอุนพันมันติดคอไว้เสมอเมื่ออากาศเริ่มจะเย็น ทั้งที่ตัวเขาก็ไม่ใช่คนขี้หนาวเหมือนกับคนที่ซื้อหามันมาให้กับเขาเลยแม้แต่น้อย
ของเพียงสิ่งเดียวที่เปรียบเสมือนตัวแทนของจองซูที่เขารัก
คิมยองอุนพรูลมหายใจผ่านริมฝีปากสีสดเมื่อเรื่องราวที่แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีกลับฉายผ่านเข้ามาในสมองอีกครั้ง แจ่มชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวันวาน หรือเพียงเพราะบางที อาจวันนี้เป็นวันครบรอบวันที่เขาและจองซูได้พบกันเป็นครั้งแรกอีกครั้งกระมังจึงได้ทำให้สายธารความทรงจำกระจ่างชัดเช่นนี้
แรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์มือถือในกางเกงผ้าเนื้อดีดึงให้ยองอุนหลุดออกมาจากห้วงความคิดทั้งหลายนั้น เพราะเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอบ่งบอกว่าเวลางานของเขากำลังจะก้าวเข้ามาขัดจังหวะเวลาส่วนตัวอีกครั้ง
“ฮัลโหล ว่าไง…”
…เสียงแบบนี้แปลว่าวันนี้ยังไม่ได้เข้าไปตรวจงานที่รีสอร์ทของฉันเลยล่ะสิ…
“อ๋อ ที่จะโทรมานี่ก็แค่อยากจะมาเร่งให้ไปทำงานเร็วๆเท่านั้นเหรอครับคุณเจ้านาย”
…ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก แค่จะบอกไว้ว่าวันนี้ฉันจะเข้าไปที่นั่นด้วย มีประชุมสรุปงบตอนบ่าย รู้เรื่องแล้วใช่ไหม…
“เออ รู้แล้ว แค่นี้ใช่ไหม”
…เฮ้ย เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งวาง…
“อะไรอีกล่ะ”
…เออ สะบัดเสียงเหวี่ยงเข้าไปเถอะไอ้ยองอ้วน ฉันรู้นะเว้ยว่าที่แกไม่เข้าไปทำงานน่ะมันเพราะอะไร แค่อยากจะบอกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะกับการมีชีวิตอยู่แต่กับความทรงจำน่ะ ชีวิตคนเรามันต้องก้าวเดินต่อไป แกเป็นแบบนี้ใครเขาเห็นเขาก็เป็นห่วงกัน เท่านี้แหละ…
“เออ ถ้าเป็นคำปลอบใจก็ขอขอบใจไว้ด้วยนะ แต่บางทีชีวิตฉันมันก็ต้องการอดีตไว้ผูกติดบ้างน่ะ มันจะได้ไม่เลื่อนลอยจนเกินไป เท่านี้แล้วกัน เดี๋ยวจะไปทำงานรับใช้คุณเจ้านายแล้ว เจอกันตอนประชุมเลยนะ”
ว่าทิ้งไว้เท่านั้นโดยไม่รอให้เพื่อนตอบอะไรกลับมาอีก ชายหนุ่มก็กดตัดสายทิ้งไป โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมถูกเก็บลงไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้งเมื่อเจ้าของมันลุกขึ้นจากม้านั่งตัวเล็กริมทาง
ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้
เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอตลอดมา
ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า ฉันยังรักเธอ
ความคิดของเขา…แม้ว่ามันจะอัดแน่นไปด้วยชื่อของปาร์คจองซูมากมายสักเพียงไหน หากแต่สำหรับคนที่ได้จากกันไปไกลแสนไกลเช่นนั้นแล้ว มันก็คงจะส่งไปไม่ถึงคนในความคิดคนนั้นอยู่ดี
เขา…คิมยองอุนคนนี้คงทำได้เพียงแค่ฝากให้สายลมและต้นหญ้าเล็กๆรอบกายเหล่านี้ช่วยเก็บสะสมเอาความคิดถึงที่เขาเอามาฝากไว้ทุกวันไว้บ้าง เพียงเผื่อว่าวันไหนที่คนในความคิดของเขาได้กลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง อย่างน้อยก็อาจจะยังพอทำให้รับรู้ได้บ้างว่า…ความรัก…ที่เขาเคยประกาศไว้ว่าจะมีให้ตลอดไปนั้นไม่ได้ลดลงไปไหนเลยแม้สักน้อย
ก้าวย่างอย่างมั่นคงฝากร่องรอยไปตามทางเดินปูอิฐที่ทอดยาวเบื้องหน้าอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มตัดสินใจเดินกลับไปทำงานตามที่เจ้านายสู้อุตส่าห์โทรศัพท์มาเร่งกันได้ตั้งแต่ยังเช้าเช่นเมื่อครู่ พลางดวงตาก็จับจ้องมองผ่านทิวทัศน์ข้างทางที่ยังคงเป็นแบบเดิมเช่นเดียวกับที่เขาเห็นมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ขอย้ายตัวเองมาทำงานยังที่ดินที่เคยไม่ชอบใจยิ่งแห่งนี้ ไม่ได้สนใจสิ่งใดจวบจนกระทั่งสายตาคมตวัดไปพบเข้ากับร่างคุ้นตาที่เบื้องหน้า
สองร่างกลางทางเดินทอดยาวหยุดนิ่งอยู่ในระยะห่างที่ไม่เกินไปกว่าสายตาจะจับรายละเอียดของกันและกันได้…
ดวงตาคมขลับฉายแววสับสนระคนประหลาดใจเมื่อภาพของคนที่สะท้อนอยู่ภายในดวงตาทั้งคู่คือร่างของชายหนุ่มรูปร่างโปร่งบางเกินบุรุษเจ้าของใบหน้าหวานละมุนล้อมกรอบด้วยเส้นผมนุ่มสีน้ำตาลเข้มที่ปลิวระไปกับเครื่องหน้าอ่อนหวานยามที่กระแสลมพัดผ่านมาแต่ละครั้ง กลีบปากฉ่ำแดงเม้มเข้าหากันแน่นดังเช่นทุกคราที่เจ้าตัวอยู่ในภาวะกดดัน และดวงตากลมโตเปล่งประกายระริกไหวเมื่อมองสบลงให้ลึกยิ่งขึ้น แผกไปจากความเย็นชาที่ได้พบเห็นครั้งสุดท้ายราวกับพลิกฝ่ามือ
“จองซู…”
ชื่อที่ยองอุนไม่คิดว่าจะได้เรียกอีกแล้วในชีวิตหลุดลอยออกจากริมฝีปากอีกครั้ง แม้จะไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ หากกลับทำให้คนฟังขบเม้มริมฝีปากแดงแน่นเข้าเมื่อหยาดน้ำใสหลั่งรินออกจากดวงตาคู่นั้นอย่างห้ามไม่อยู่
ร่างสูงค่อยๆก้าวเข้าไปหาคนที่เขาเฝ้าคิดคำนึงถึงมาตลอดเวลาหลายปีที่ล่วงผ่าน ลดระยะห่างระหว่างกันลงช้าๆตราบกระทั่งมาหยุดลงห่างกับร่างตรงหน้าเพียงนิด
มือใหญ่ยกขึ้นอย่างขลาดกลัว หวั่นว่าจะถูกปัดป้องโดยมือเรียวเล็กของคนที่กำลังร้องไห้อยู่เงียบๆดังเช่นที่เคยได้พบมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน หากเมื่อปลายนิ้วโป้งไล้ผ่านรอยน้ำตาบนใบหน้าหวานแล้ว มือที่กำแน่นอยู่ข้างลำตัวของอีกคนก็ยังคงวางไว้ที่เดิมเช่นนั้น ยองอุนบรรจงเกลี่ยหยดน้ำที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรินไหลง่ายๆออกอย่างนุ่มนวลขณะโอบมืออีกข้างหนึ่งไปตระกองกอดเอวบางไว้หลวมๆ
ผอม…เกินกว่าที่คิดไว้
เสียงทุ้มของคนตัวใหญ่กว่ากระซิบเบาๆชิดใบหน้าของคนที่รัก “อย่าร้องไห้อีกเลยจองซู น้ำตาของพี่…ทำให้ผมเจ็บตามไปด้วย”
คำขอร้องนุ่มนวลดูจะไม่เป็นผลเมื่อแว่วเสียงสะอื้นที่บอกให้รู้ว่าคนในวงแขนคงร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม นิ้วใหญ่จึงได้เลื่อนขึ้นมาปาดน้ำตาออกอีกครั้งพร้อมคำวิงวอน…อ่อนหวานเท่าที่จะสามารถทำได้
“ตลอดเวลาผมคิดถึงพี่แค่ไหนรู้บ้างไหม ได้โปรด…อย่าหนีผมไปไหนอีกเลยนะ ให้โอกาสผมอีกครั้ง ได้ไหมจองซู…”
แม้จะยังไม่ได้รับคำตอบใดๆจากคนในวงแขนแข็งแรง หากแต่ทีท่าของคนตัวเล็กบางที่โอนอ่อนลงอิงซบไปกับร่างกายของยองอุนก็ดูจะเพียงพอแล้วสำหรับชายหนุ่มร่างสูงในเวลานี้
ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้
อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันได้ฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า…
ลมเย็นพัดผ่านมาอีกระลอกหนึ่ง กลุ่มผมนุ่มที่เคลียอยู่ข้างแก้มของร่างสูงกรุ่นกลิ่นหอมอ่อนจางที่ชวนให้อบอุ่นใจ ได้เป็นดั่งเครื่องย้ำว่าสัมผัสของมือทั้งคู่นี้…ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงอีกต่อไป
ยองอุนกระชับแขนที่กอดเอวบางไว้แน่นขึ้นให้สมกับความคิดถึงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่าน ริมฝีปากที่เคยกรอกผ่านน้ำสีอำพันมานับครั้งไม่ถ้วนเอื้อนเอ่ยคำหวาน เฝ้าย้ำให้คนที่ห่างหายไปนานได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ไม่มีโอกาสได้บอกมาตลอดเวลาที่มีความเจ็บปวดหัวใจคอยอยู่เป็นเพื่อน
“ผมรักพี่นะจองซู และจะรัก…แค่พี่คนเดียว”
อ้อมกอดอุ่นที่โอบล้อมเรือนร่างผอมบางแนบแน่น…ไม่ต่างไปจากมือเรียวเล็กที่ค่อยยกขึ้นกอดตอบ
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า…
“พี่ยอมแพ้นายแล้วยองอุน…” เสียงนุ่มที่แม้ว่าจะติดอู้อี้เพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้ร้องบอกกับอ้อมกอดอุ่นเบาๆ
“เพราะพี่ก็รัก…ไม่ต่างจากนายเลย”
The End