Archive by Author

4SEASONS ประกาศให้ทราบค่ะ

4 Apr

ประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการโดยทั่วกันนะคะ

ฟิคชั่น KangTeuk ในธีม 4SEASONS โดย parksoohyun ได้ sold out เรียบร้อยแล้วนะคะ ทั้ง 20 เลมมีเจ้าของจับจองหมดเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ทุกท่านที่เห็นข้อความนี้ก็โปรดรับทราบไว้ว่าไม่ต้องส่งอีเมลมาออร์เดอร์แล้วนะคะ หมดยกสต๊อกแล้ว

ขอขอบคุณทุกๆคนที่ให้ความสนใจค่ะ

UPDATE ตัวเล่ม 4SEASONS: The Series พิมพ์เสร็จแล้วค่ะ

12 Feb

สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักทุกๆคน

วันนี้อั้มมีข่าวมาอัพเดทให้เรื่องความคืบหน้าของฟิคชั่น 4SEASONS: The Series กันอีกเช่นเคยนะคะ เป็นข่าวดีเพราะว่าตอนนี้ฟิคพิมพ์เสร็จเป็นเล่มและถูกส่งมาถึงมืออั้มเรียบร้อยแล้ว พร้อมจะทำการจัดส่งให้ค่ะ

สรุปความยาวทั้งหมด 370 หน้าถ้วนนะคะ พร้อมที่คั่นหนังสือแถมให้เล่มละ 2 อัน ตัวอักษรในฟิคอาจจะเล็กไปหน่อย แต่ก็เพื่อความประหยัดหน้ากระดาษ หวังว่าคงไม่ว่ากันนะคะ

ทั้งนี้ อั้มจะทยอยส่งให้กับคนที่โอนเงินเข้ามาแล้วก่อนไล่ไปตามลำดับการโอนนะคะ ซึ่งก็จะเริ่มส่งให้ได้ในวันจันทร์นี้นี่ล่ะค่ะ (สามารถเข้ามาเชครหัสพัสดุได้ใน https://ummy1204.wordpress.com/2012/01/22/update-%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/ ค่ะ)

สำหรับคนที่นัดรับกับอั้มก็ขอดูตารางเวลาอีกสักนิดนะคะ ถ้าวันอาทิตย์ไหนที่เหมาะๆก็จะโทรไปนัดตามเบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้ค่ะ

ส่วนคนที่ยังไม่ได้โอนเงินเข้ามายังมีเวลาถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้นะคะ โอนแล้วอย่าลืมแจ้งโอนเข้ามาในเมลตามแบบฟอร์มที่เคยส่งให้ไว้แล้วในอีเมลฉบับก่อนด้วยค่ะ และจะเป็นการดีมากถ้าสามารถแนบรูปถ่ายหรือภาพสแกนหลักฐานการโอนเงินมาให้อั้มได้ค่ะ

วันนี้คงมีเรื่องอัพเดทแต่เพียงเท่านี้นะคะ

ขอบคุณทุกๆคนมากเลยค่ะ

หมายเหตุตัวโตๆค่ะ

ตอนนี้ยังมีฟิคที่ไม่มีเจ้าของอยู่ในมืออั้มอีก 2 เล่มนะคะ ถ้าใครสนใจก็รบกวนกดเข้าไปที่นี่ click

และกรอกรายละเอียดตามแบบฟอร์มที่ให้ไว้แล้วในหน้าเพจนั้น ส่งอีเมลเข้ามาที่ tu5103684295@gmail.com ได้เลยนะคะ

UPDATE สถานะการโอนเงิน

22 Jan

สถานะการโอนเงินและรหัสพัสดุ

สถานะการโอนเงิน

รหัสพัสดุ

1. สุนิสา วังวงษ์

โอนแล้ว

RG 4796 8506 7 TH

2. วรกมล ไกรชุมพล

โอนแล้ว

RG 0346 0566 9 TH

3. ธฤตวัน ไชยวสุ

โอนแล้ว

RG 0346 2989 0 TH

4. จิราพร ทรัพย์มณี

โอนแล้ว

RG 0346 0948 4 TH

5. สรนา ไกรเพ็ชร์

โอนแล้ว

รับของแล้ว

6. นฤมล อ่อนจันทร์

โอนแล้ว

RG 0346 1102 9 TH

7. วนิสรา เทือกแถวสกุล

โอนแล้ว

รับของแล้ว

8. พงศกร แจ่มศรี

โอนแล้ว

RG 0346 3621 5 TH

9. จณัญญา บารมีชัย

โอนแล้ว

RG 0346 0945 3 TH

10. พี่ส้ม

โอนแล้ว

RG 0346 0946 7 TH

11. miu-mu

โอนแล้ว

RG 0346 0567 2 TH

12. ปุณยวีร์  วงศ์พลกานันท์

โอนแล้ว

RG 0346 0947 5 TH

13. พลอย

โอนแล้ว

RG 4796 8507 5 TH

14. นฤมล [KoY_LucKy]

โอนแล้ว

 RG 0346 1103 2 TH

15. ศศิกร (gorn_dbsk)

โอนแล้ว

RG 0346 0949 8 TH

16. Princegav

โอนแล้ว

RG 4796 8505 3 TH

17. MyStar

– – – – –

รับของแล้ว

18. ลลินดา   อภิวัฒโนดม
19. ศิริวรรณ  อินทรฤทธิ์ โอนแล้ว
20. P O O K ლ(◉◞౪◟◉ )ლ – – – – – รับของแล้ว

*** เนื่องจากไม่สามารถติดต่อคุณลลินดาได้เป็นเวลานานมาก จึงขออนุญาตสละสิทธิ์การจองเล่มฟิคเล่มที่ 18 ให้กับน้องอีกคนที่สนใจแทนนะคะ ***

สามารถตรวจสอบสถานะได้ที่ http://track.thailandpost.co.th/trackinternet/Default.aspx โดยกรอกรหัสพัสดุที่อั้มอัพเดทไว้ลงในช่องที่กำหนดให้นะคะหรือ โทร 1545 ค่ะ


UPDATE ปกฟิคชั่น 4SEASONS: The Series ราคา และความคืบหน้า

22 Jan

ล่วงเข้าช่วงกลางเดือนมาจนใกล้จะถึงครบกำหนดระยะเวลาการเปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ วันนี้อั้มจึงขอถือโอกาสอัพเดทปกฟิคชั่นให้ทราบกันตามที่ได้บอกกล่าวผู้จองทุกท่านผ่านทางอีเมลไปก่อนหน้านี้แล้วค่ะ

และนี่ก็คือปกฟิคที่ทั้งการออกแบบ จัดวาง ตกแต่ง แก้ไข รวมถึงถ่ายภาพโดยอั้มทั้งหมดเลยค่ะ

และจากการประเมินราคาจากจำนวนเล่มที่สั่งจองกันมา อั้มขอเคาะราคาครั้งสุดท้ายที่เล่มละ 280 บาทถ้วนนะคะ รวมค่าจัดส่งคนละ 50 บาทก็จะเป็นยอดเงินรวม 330 บาทค่ะ

โดยรายละเอียดการโอนเงินจะขออนุญาตแจ้งรายละเอียดให้ทราบอีกครั้งผ่านทางอีเมลสำหรับผู้ที่ส่งรายชื่อสั่งจองมาเท่านั้นนะคะ

อ้อ และไหนๆเราก็ได้มีโอกาสมาทักทายกันเป็นครั้งที่ 2 ถัดจากการประกาศรวมเล่ม และนับเป็นครั้งที่ 3 สำหรับคนที่ส่งเมลมาสั่งจองกับอั้มเป็นการส่วนตัว ก็ขออนุญาตแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับฟิคสักเล็กน้อยค่ะ

ตอนนี้หลังจากที่อั้มขอเวลาลาพักยาวหนึ่งอาทิตย์สำหรับการนอนป่วย อาทิตย์หน้าคิดว่าคงจะมีการแก้ไขตอนจบของฟิคชั่นเรื่อง The Second Time กันอีกเล็กน้อย และอาจจะทำให้จำนวนหน้ารันเพิ่มจาก 358 หน้าที่เคยแจ้งไว้เมื่อก่อนหน้านี้ค่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม คิดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อราคาที่ได้ประกาศไปแล้วแต่อย่างใดนะคะ เพราะฉะนั้นผู้อ่านทุกท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ *ยิ้ม*

และหากไม่มีอะไรผิดพลาดก็คิดว่าตัวเล่มที่จัดพิมพ์เรียบร้อยแล้วคงส่งมาถึงมือของอั้มในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งจะเริ่มทำการทยอยส่งไปรษณีย์ให้ได้ในช่วงนั้นค่ะ (เมื่อของมาถึงแล้วอั้มจะอัพเดทให้อีกทีนะคะ) โดยการส่งเล่มก็จะส่งให้เรียงตามลำดับการโอนเงินเข้ามาค่ะ โอนก่อนก็จะทยอยส่งให้ก่อนเป็นลำดับไป

ส่วนคนที่นัดรับ อั้มจะโทรไปหาเพื่อนัดวัน เวลา สถานที่กันอีกทีค่ะ

คิดว่าหมดเรื่องที่จะแจ้งให้ทราบแล้ว เจอกันอีกครั้งเมื่อมีความคืบหน้าที่สำคัญจะต้องแจ้งให้ทราบนะคะ

สำหรับผู้ที่ส่งอีเมลมาสั่งจองฟิคกับอั้มเอาไว้แล้วก็รบกวนเข้าไปเชคอีเมลกันสักนิดนะคะ ทุกท่านจะได้พบกับรายละเอียดการโอนเงินในอีเมล

ขอบคุณค่ะ

UPDATE รายชื่อคนสั่งจอง KangTeuk fiction: 4SEASONS the series

19 Dec

รายชื่อ

1. สุนิสา วังวงษ์ 1 เล่ม
2. วรกมล ไกรชุมพล 1 เล่ม
3. ธฤตวัน ไชยวสุ 1 เล่ม
4. จิราพร ทรัพย์มณี 1 เล่ม
5. สรนา ไกรเพ็ชร์ 1 เล่ม
6. นฤมล อ่อนจันทร์ 1 เล่ม
7. วนิสรา เทือกแถวสกุล 1เล่ม
8. พงศกร แจ่มศรี 1 เล่ม
9. จณัญญา บารมีชัย 1 เล่ม
10. พี่ส้ม 1 เล่ม
11. miu-mu 1 เล่ม
12. ปุณยวีร์ วงศ์พลกานันท์ 1 เล่ม
13. พลอย 1 เล่ม
14. นฤมล [KoY_LucKy] 1 เล่ม
15. ศศิกร (gorn_dbsk) 1 เล่ม
16. Princegav 1 เล่ม
17. MyStar 1 เล่ม
18. ลลินดา อภิวัฒโนดม 1 เล่ม
19. ศิริวรรณ อินทรฤทธิ์ 1 เล่ม
20. P O O K ლ(◉◞౪◟◉ )ლ ‏ 1 เล่ม

 

 

หมายเหตุ: อั้มได้ส่งอีเมลตอบกลับทุกคนทันทีที่อัพเดทรายชื่อนะคะ ถ้าใครหาไม่เจอลองเข้าไปดูในเมลขยะด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

*** เนื่องจากไม่สามารถติดต่อคุณลลินดาได้เป็นเวลานานมาก จึงขออนุญาตสละสิทธิ์การจองเล่มฟิคเล่มที่ 18 ให้กับน้องอีกคนที่สนใจแทนนะคะ ***

 

ประกาศรวมเล่ม KangTeuk fiction: 4SEASONS the series

19 Dec

ประกาศรวมเล่มฟิคชั่น KangTeuk ของ ParkSooHyun ค่ะ…

เนื่องจากว่าอั้มตั้งใจจะพิมพ์ฟิคส่วนนี้เอาไว้สำหรับเก็บเป็นที่ระลึกของตัวเองอยู่ก่อนแล้ว แต่หลังจากที่ลองพูดคุยดูก็พบว่ามีบางคนที่อยากจะเก็บเอาไว้อ่านเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้เพื่อประชาสัมพันธ์การรวมเล่มฟิคไว้ด้วยนะคะ

โดยจะจัดพิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตาขนาด A5 ความหนาอยู่ที่ 300 กว่าๆแต่ไม่เกิน 400 หน้าค่ะ

สำหรับฟิคที่จะถูกตีพิมพ์ทั้งหมดจะเป็นบรรดาฟิคทั้งหมดที่เคยแต่งมา มีอยู่ด้วยกัน 6 เรื่อง ได้แก่

1. Underneath the Rain (+special part)

2. Vanilla Vincent

3. ความคิด

4. Omamori

5. From the End

6. The Second Time

โดยฟิคชั่นทั้ง6เรื่องสามารถหาอ่านกันได้ที่นี่ค่ะ >> http://writer.dek-d.com/soohyun-park/writer/view.php?id=739149

และจะมีของแถมพิเศษให้ดังนี้ค่ะ

1. ฟิคชั่นเรื่องพิเศษที่จะไม่นำลงเว็บ Special Series: SUMMER เรื่อง Love, Destiny, and Miracle

2. ที่คั่นหนังสือเล่มละ 2 อัน

สำหรับราคารวมค่าจัดส่งแล้ว ตอนนี้คิดว่าไม่น่าเกิน 350 บาท แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงก็จะแจ้งให้ทราบกันต่อไป  (ผ่านทางอีเมลสำหรับผู้ที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของ)  ค่ะ

โดยอั้มจะขออนุญาตบังคับส่งทางไปรษณีย์เพียงอย่างเดียวนะคะ เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากและเวลาที่อาจจะไม่ตรงกันในการนัดรับของค่ะ

และที่สำคัญที่เกือบลืมบอกไปแล้ว การพิมพ์ฟิคครั้งนี้อยากจะขอพิมพ์เป็นแบบ Limited Edition นะคะ จะไม่พิมพ์เผื่อเยอะแยะมากมาย ดังนั้น จะขออนุญาตให้คนที่สนใจส่งอีเมลมาบอกกันโดยขอทราบรายละเอียดดังต่อไปนี้ด้วยค่ะ

ชื่อ-สกุล : (สำหรับชื่อที่ใช้จองไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อจริงก็ได้นะคะ แต่ขอเอาเป็นชื่อที่จะใช้สำหรับจ่าหน้าซองไปรษณีย์ที่จะนำฟิคชั่นเล่มนี้ไปถึงมือของคุณได้ก็พอค่ะ =] )

จำนวนเล่มที่จอง :

ที่อยู่ : (ขอเป็นที่อยู่สำหรับให้ส่งฟิคไปหานะคะ และอย่าลืมรหัสไปรษณีย์ด้วยนะคะ)

อีเมลติดต่อ :

เบอร์โทรศัพท์ :

โดยสามารถส่งรายละเอียดเข้ามาได้ที่อีเมล tu5103684295@gmail.com ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 นะคะ โดยจะอัพเดทรายชื่อผู้จับจองเอาไว้ให้ในลิงค์ด้านล่างนี้ค่ะ และสามารถเข้ามาติดตามรายละเอียดได้ในบล็อก wordpress ได้เรื่อยๆนะคะ

https://ummy1204.wordpress.com/2011/12/19/update-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-kangteuk-fiction-4seasons-the-series/

สำหรับคนที่กลัวว่าจะหาเนื้อหาที่อยากอ่านไม่เจอก็ให้ดูที่มุมบนขวามือจะมีแถบชื่อ Fiction อยู่ หรือดูที่แถบด้านล่างขวามือนะคะ ตรง Categories ให้เลือก Fiction ค่ะ เท่านี้ก็จะเจอโพสเกี่ยวกับการรวมเล่มทั้งหมดได้

และเรื่องการโอนเงินค่าฟิก จะขออนุญาตแจ้งให้ทราบหลังจากได้จำนวนเล่มที่แน่นอนแล้วต่อไปนะคะ

ใครที่มีอะไรสงสัยอยากถาม รบกวนช่วยทิ้งคำถามด้วยการเมนชั่นมาหากันในทวิตเตอร์ที่ @umm_Um ได้นะคะ ยินดีตอบทุกคำถามเลย

ขอบคุณค่ะ

[Fan Account] 111130 Leeteuk and Donghae at Oishi Grand Siam Discovery

3 Dec

[12+ Fan Account] 111130 Leeteuk and Donghae at Oishi Grand Siam Discovery

Written by: Ummy (ParkSooHyun)

[2sec Fancam] 111130 Leeteuk at Oishi Grand: Siam Discovery

หลังจากที่โดนการ์ด 12+ หลอกมาจากที่โรงแรมจนไม่ได้เจอหน้ากัน ในที่สุดก็จับสามล้อ (รถตุ๊กตุ๊กนั่นแล -*-) มาถึงสยามตามข่าวว่าทั้งสองคนกำลังกินข้าวกันอยู่ที่นั่นในที่สุด

ความจริงก็คือไม่ได้ตั้งใจจะไปกินตั้งแต่แรก ตั้งใจว่าจะลองไปเดินเตร่ดูเฉยๆ ถ้ามีโอกาสก็อาจจะเข้า แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าร้านปรากฏว่าเห็นฝูงชนมากมายยืนออกันอยู่ตรงนั้น และทาง รปภ.ของห้างก็กั้นรั้วไว้แล้ว แต่ด้วยอารามของความรีบ ความบ้า (ที่จนตอนนี้ก็ยังหาสาเหตุไม่เจอ -*-) ความลนลาน และความตื่นเต้น ประกอบกับจูงมือพ่อมาแต่ไกล เค้าก็เดินตัดรั้วออกไปผ่าหน้าน้องๆทั้งหลายมุ่งตรงสู่ประตูหน้าร้านโดยไม่มีใครเข้ามาทักท้วงสักคำ

คิดว่านี้เป็นเพราะอิทธิพลของการเดินเข้าไปในร้านกับพ่อและแม่ ประกอบกับความรวดเร็วในการเดิน ทำให้คนจับตัวไว้ไม่ทัน 5555

เมื่อเข้าไปในร้าน ก่อนที่จะได้นั่งซะอีก! ก็เห็นพี่ทึกกำลังยืนคืบอาหารอยู่โดยปราศจากการ์ดรายล้อมหนาแน่น ก็เลยเดินโฉบเข้าไปใกล้ๆ มองตาไม่กระพริบแม้ว่าเค้าจะไม่ได้สนใจมองมาทางเราเลยก็ตาม 5555 ยังคงตักอาหารต่อไปราวกับฉันอยู่ในโลกเพียงลำพัง (ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว~)

จนกระทั่งได้โต๊ะซึ่งห่างไกลจากความเจริญพอสมควรเพราะไม่เคบมีประสบการณ์ตามมาก่อน ไม่รู้ว่าควรนั่งตรงไหนอะไรยังไง และเมื่อจ่ายเงิน (ในปริมาณมากเหลือเกิน T____T) ไปเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินไปตักอาหารมากินบ้างโดยระหว่างนั้นก็สอดส่ายสายตาไปมาตลอดเวลา หวังจะหาวี่แววของทั้งทงเฮและพี่ทึก

เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ จนได้ยืนอยู่ข้างๆพี่อินฮวาน (เมเนเจอร์สุดหล่อ ><~) ทีนึงด้วย ก็ได้เห็นทงเฮแว๊บๆ

เธอใส่เสื้อยืดคอวีสีดำ แล้วก็หมวกดำทำให้ตัวดูขาวมากเป็นพิเศษเดินมาตักอาหารด้วยอาการเดียวกับพี่ทึกคือไม่สนใจสิ่งใดในโลกในขณะที่เอลฟ์น้อยใหญ่ก็เดินขวักไขว่ไปมา

แต่ไคลแม็กซ์กลับอยู่ที่ช่วงๆท้ายๆของมื้ออาหารของเอสเจทั้งสองคน อยู่ดีๆในร้านก็เกิดเสียงเหมือนจลาจลขึ้น ตัวเค้าที่นั่งกินอยู่ที่โต๊ะหลืบๆห่างไกลห้อง V.I.P. ก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่วิ่งเร็วที่สุดในชีวิตโดยที่ยังถือตะเกียบอยู่ในมือ -*-

และก็พบว่าพี่ทึกกำลังเดินมาเลือกไอติมอยู่ตรงกลางร้านกับพี่อินฮวาน !!!

รอบตัวรู้สึกได้ว่ามีคนพยายามดันเค้า แต่ตอนนั้นเค้าไม่สนใครเลย ดันกลับแล้วก็รีบวิ่งออกมายืนอยู่ตรงตู้ของหวานซึ่งอยู่เยื้องกับตู้ไอติม ระยะห่างวัดจากแนวเส้นตรงไม่น่าเกิน 3 เมตร ตอนนั้นเหมือนเห็นทงเฮแว๊บเดียวแล้วก็หายไป -*-

แต่พี่ทึกนี่สิ… เหมือนจะรู้เลยว่าทุกคนรอดูอยู่ หรืออย่างน้อยพี่เค้าก็อาจจะตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นที่มายืนเลือกรสไอติมอยู่นานมาก ประมาณนาทีนึงได้เลยที่เค้ายืนจ้องหน้าเธออยู่ตรงนั้น

เธอผมสีทองอมน้ำตาลสว่างๆ เซ็ตเสยหน้าม้าขึ้นเหมือนซีวอนคนหล่อ ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีน้ำเงินมีฮู้ด หน้าขาวอย่างไร้ที่ติ เหมือนจะมีออร่าเปล่งประกายออกมาซะให้ได้!!!

ยืนเลือก เลือกไปก็เลือกมา ซึ่งจำได้ว่าเลือก “mango” แน่ๆรสนึงล่ะ 55555

เค้าเห็นยืนนานขนาดนั้นก็ทนไม่ไหว จำต้องหยิบกล้องซึ่งแบตกำลังจะหมดขึ้นมาเตรียมถ่าย แต่เนื่องจากทางหางตาเห็นว่าการ์ดมาตบกล้องมือถือของน้องคนที่อยู่ข้างๆลงอย่างแรงก็เลยทำให้ไม่กล้าถ่ายปะเจิดประเจ้อนัก ต้องหลบๆกล้องลง แกล้งทำเป็นคว้าขนมมาสองสามอย่าง แล้วก็แอบเลื่อนกล้องขึ้นมาถ่ายอย่างไวได้ 1 รูป และวีดีโออย่างสั้น (มาก) อีก 1 ช็อต เพราะโดนการ์ดเพ่งเล็งแล้ว หลังจากนั้นจึงได้ยืนเสพด้วยตาอย่างเดียว จนกระทั่งเธอเดินกลับไปกินต่อ เค้าถึงได้ล่าถอยกลับไปกินบ้าง

ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อได้เห็นทงเฮอีกแว๊บสองแว๊บโดยปราศจากโอกาสให้ได้ใกล้ชิด ความโกลาหนก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อทั้งสองคนเดินออกจากร้าน คราวนี้เค้าไม่รอช้า รีบทิ้งตะเกียบแล้ววิ่งตามหลังออกไป อยู่ในระยะไม่เกิน 3-5 เมตรพร้อมกับคนอีกกลุ่มหนึ่งและส่งเธอทั้งสองจนกระทั่งเดินลับตาไปยังทางลับสู่ลานจอดรถ

เป็นอันจบหนึ่งชั่วโมงของการกินอย่างไม่เป็นสุขในวันนี้ พร้อมกับบทสรุปที่ว่า “ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ใกล้จองซูขนาดนี้…” 55555+

ขอบคุณที่อุตส่าห์ยืนแช่อยู่ที่เคาน์เตอร์ไอติมอยู่นาน ขอบคุณที่อุตส่าห์ทำตัวเป็นธรรมชาติแม้ว่ามันคงจะรู้สึกอึดอัด ขอบคุณที่ยังคงยิ้มเสมอไม่ว่าเวลานั้นจะรู้สึกอะไรอยู่ก็ตาม ไม่ว่ายังไงเธอก็ยังเป็นคนดีที่ห่วงหัวใจแฟนๆอยู่เสมอ ขอบคุณจริงๆ 🙂

ปล.ขอบคุณเพื่อนเป่าและน้ามุกที่นำพาเค้ามาจนถึงสยามดิสฯและทำให้เค้าได้รับโอกาสอันดีนี้ ขอบคุณจ้ะ~


[FanAccount] 110116 SuperShow 3

17 Jan

Super Junior Super Show 3
Place : Impact Arena Mueng Thong Thani
Date : 16 Jan. 2011 Time : 6.00 – 9.00 p.m.
Zone : SG Row: A Seat : 5

———————————————–

บัตรคอนที่ได้มาอย่างยากลำบาก … เงินทองที่เสียไปเป็นจำนวนมากกับการดัดผม … ความทรมานที่ผ่านไปกับการสอบ … และความลุ้นระทึกกับปัญหาเรื่องพาสปอร์ตหมดอายุจนถึงวินาทีสุดท้าย … ในที่สุดวันที่ 16 มกราคมก็เดินทางมาถึงสักที
คอนครั้งนี้เข้าช้ากว่าปกติเยอะเหมือนกัน หลังจากการผ่านการตรวจตราที่เข้มซะเหลือเกินมาแล้ว – -“ ก็เดินเข้าไปนั่งอย่างสงบตรงที่นั่งที่เหลือว่างอยู่เพียง 2 ที่ของทั้งแถว (ก็คือของตัวเองและของกิ่ง -*-) แล้วพอไปถึงก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้ง เพราะพี่ที่นั่งข้างกันหันมาชี้แจงเรื่องโปรเจคที่จะต้องทำ ซึ่งไม่รู้เรื่อง+งงเพราะมีของทำโปรเจควางอยู่เป็นห่อข้างใต้ที่นั่งเต็มไปหมด
หยิบๆมาดูพอให้รู้คิวแล้วก็วางกลับลงไปที่เดิมเพราะคอนก็จวนจะเริ่มเต็มทีแล้ว
รออยู่ไม่นาน ไฟในอารีน่าก็ดับลงพร้อมกับเสียงกรี๊ดกระหึ่มจนทำให้หูอื้อไปภายในไม่กี่วินาที แล้วคอนเสิร์ตที่เฝ้ารอมานานก็เริ่มเปิดฉากขึ้น …

* จากนี้จะเป็นการรายงานกันเป็นรายเพลง เท่าที่จะจำได้ แต่ถ้าจำไม่ได้เมื่อไหร่ก็จะข้ามไปอย่างหน้าตาเฉยทันที …

ก่อนจะเริ่มเพลงแรก ก็ต้องมี VCR ภาพของแต่ละคนก่อน แม่เจ้าประคุณรุนช่อง !!! เสียงกรี๊ดของคนทั้งฮอลล์ดังไปสามโลกมากๆ แล้วก็ขอขอบคุณอีกครั้งที่เอาชื่อทงเฮกับฮยอกแจมาต่อกัน (กะจะฆ่ากันให้ตาย ?? -*-) ภาพใน VCR หล่อทุกคน หล่อแบบเข้มๆเท่ห์ๆ ^^
หลังจากนั้นก็เปิดตัวมาด้วยสลิงพร้อมกับเสียงกรี๊ดดังๆเพราะบนสลิงนั้นคือคุณแฟนที่รักลอยขึ้นมาอย่างสง่างามจากตรงเวทีกลางกลมๆ ขึ้นมาแป๊บนึงแล้วก็ลงไปรวมทีมกันพร้อมสำหรับเพลงแรก

Go Go !! Go Go !! ~

SORRY SORRY (Concert Remix)
เพลงเปิดตัวค่อนข้างจะไปกองๆกันอยู่แถว main stage ก็เลยมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
แต่เท่าที่สัมผัสได้คือเสียงกรี๊ดที่ยังคงดังต่อเนื่องตลอดเพลง (เพราะเพิ่งเป็นแค่เพลงแรก) และเสียงอังกอร์ที่ดังไม่แพ้กัน ^^
เพลงเวอร์รีมิกซ์สำหรับคอนและท่าเต้นนี่จริงๆแล้วสามารถหาดูได้ตามงานประกาศรางวัลช่วงปลายปี แต่พอเป็นเอสเจขึ้นมาเต้น ไม่ว่าจะเคยดูมากี่รอบก็ยังสติลกรี๊ดได้ตลอดศกอยู่เหมือนเดิม ฮิฮิฮิ

Super Girl (SuJu Ver.)
เป็นเวอร์ชั่นเกาหลีซึ่งบอดสนิท 555555+ เคยฟังแต่ภาษาจีน ก็เลยได้แต่ถั่วงาๆกับกรี๊ดกร๊าดไปตามเรื่อง
ก็แปลกดีเหมือนกันที่เห็นเอสเจเต้นเพลงนี้หมดทุกคน เพราะปกติแล้วเอสเจเอ็มก็เต้นกันหรอมแหรมอยู่ไม่กี่คน
ช่วงนี้เฮนรี่กับโจวมี่ขึ้นมาเต้นกะเค้าด้วย เหลือบมองมอนิเตอร์ไปเห็นสีผมโจวมี่แว๊บๆถึงขั้นตกใจ “โอ้ !!!!! แรงกว่านี้ยังมีอีกไหม ?” สำหรับคำตอบก็คือ มี !!!!!!!!!!! รับรองได้แรงสมใจกว่านี้จริงๆในเพลงต่อๆไป T T
จริงๆก็ว่าจะดูซักหน่อยว่าพี่ทึกวันนี้เต้นมั่วอีกรึเปล่า 55555+ แต่ก็ลืมดูไป เพราะมองไปมองมาอีกทีก็หันไป “กรี๊ดดดดดดดดด คยูหล่อออออออ” ตลอดเวลา -*- ใครก็ได้ช่วยทีเถอะนะ …

돈 돈! (Don’t Don)
ขยับมาที่แถวๆเวทีกลางกลมๆกันบ้าง ฝั่งทงเฮอยู่ซ้าย (ของคนดู) เรียววุคอยู่ขวา ร้องกันไปและเต้นกันไปด้วยความสงสัยว่าคิมฮีชอลอยู่ที่ไหน –* จนกระทั่งถึงกลางเพลงที่เป็นช่วงโซโล่ไวโอลินของเฮนรี่ ความจริงก็ปรากฏ …
ตรงกลมๆกลางเวทีที่ยืดขึ้นลงได้ก็ลอยขึ้นมา มีคิมฮีชอลผู้นั่งโซโล่กลองอยู่อย่างเมามัน (ด้วยความสงสัยของนุ่นว่าตีเป็นจริงรึเปล่า ?? -“-) และเฮนรี่ผู้สีไวโอลินอยู่อย่างไม่สนใจใคร
และ …
โจวมี่ในแนวพังค์ร็อคสุดโลก และเสียงสุดแหลม และผมสุดแดง และชุดสุดเปรี้ยว !!!!!!!!!! จนอิคนที่นั่งมองอยู่แถวแรกสุดนี่ต้องผงะและหันมาปรึกษากันในบัดดลว่าโจวมี่เป็นอะไร ?!?!?!?

너 같은 사람 또 없어 (No Other)
โปรเจค !!!!!!!!!!! T^T โปรเจคกระดาษเอสี่+หัวใจสีแดง อยากจะบอกว่า สวยมากกกกกกกกกกก สวยมากจริงๆ เพราะโซนนั่ง 4500 และ 5000 ทั้งฮอลล์ รวมถึงในหลุมอีกเกือบทั้งหมดยกกระดาษขึ้นมาพร้อมกันพรึ่บพั่บจริงๆ
ภาพที่ออกมาเลยดูพร้อมเพรียง ละลานตา และมั่นใจว่าเอสเจต้องเห็น !!!!!
อยากบอกจริงๆว่าคนที่คิดโปรเจคนี้และบากบั่นทำมันขึ้นมาจนสำเร็จ “คุณเจ๋งมากๆ !!!” สุดยอดจริงๆ และก็เสียดายที่ไม่ได้ร่วมทำ ไม่ได้ร่วมชูป้ายเพราะมาไม่ทันเขาแจกกัน …
เพลงนี้ก็ยังคงมีสลิงอยู่ด้วยโดยคนที่ขึ้นก็คือซองมินกับพี่ทึก ขึ้นสลิงจากคนละข้างซ้ายขวาและเหาะ (?) ตรงไปจากเวทีกลางไปหาโซนประมาณ SD กับ SL พร้อมกับโปรยกระดาษลงมาใส่หัวด้วย
ซึ่ง ณ จุดนี้อยากจะบอกว่าอิจฉา SL มากๆๆๆๆๆๆๆๆ เพราะได้ข่าวว่าพี่ทึก landing ใกล้จริงๆจังๆ จนแทบจะสัมผัสตัวได้ T^T
และ ณ ช่วงที่คนบนสลิงทั้งสองลอยไปมานั้น อยากจะบอกว่าสายตามันไปหยุดอยู่กับคนแก่บนสลิงเพียงคนเดียวจริงๆ -*- เพราะพี่ทึกเล่นทำท่าแหวกว่ายอยู่กลางอากาศด้วยท่ากบในแนวดิ่ง (!!!!) แบบไม่แคร์อายุ (–*) และไม่แคร์สายตาเอลฟ์เลยซักนิดนึง –“- หรืออาจเรียกได้ว่าเล่นจนลืมอายุเลยทีเดียว …
ส่วนที่เหลือก็ยืนร้องเพลงกันอยู่ตรงเวทีกลางกลมๆที่หมุนได้ เต้นบ้างอะไรบ้างตามแต่จะศรัทธา – -“ สำหรับฮยอกแจขานี่สิ .. โยกได้เข้าจังหวะดีเหลือเกิน ดุ๊กดิ๊กไปดุ๊กดิ๊กมา ^^

MENT#1
(จำลำดับไม่แม่น แต่คิดว่าน่าจะพูดตรงนี้แหละ …)
ช่วงนี้ก็มี VCR แนะนำตัวเหมือนเคย ^^ แต่ละคนก็ออกแนวประหลาดๆ
พี่ทึกเป็นเจ้าชายจากดูไบ (อะไรทำนองนี้แหละ)
ฮีนิมเป็นหนุ่มรูปงาม (–* รู้แล้วจ้ะพ่อคุณว่างาม …)
เย่เป็นหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง
ซองมินเป็นพ่อครัวที่สยบความเผ็ดด้วยฟักทอง (นี่ก็เอะอะฟักทองตลอด –*)
ชินดงเป็นเจ้าของร้านซาลาเปาที่เอามากองเป็นกำแพงเมืองจีนได้ (ทำนองนี้มั้ง -*-)
ฮยอกแจเป็นคนป่าที่จับได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย (แล้วจะจับไปทำไม !!)
ทงเฮเป็นเจ้าชายที่ปกป้องเมืองด้วยอะไรซักอย่าง แต่รู้แค่ชุดว่าน่ารักมาก >/////////////////////<

잠들고 싶어 (In My Dream)
เพลงนี้ … เป็นเพลงที่เพราะมากๆที่ชอบมากๆเพลงนึงในอัลบั้ม 4 เพราะว่าฟังแล้วมันสบายๆ เหมือนในความฝันจริงๆ
เพลงนี้ร้องกัน 5 คน ได้แก่ K.R.Y. แล้วก็ทงเฮ+ซองมินที่กระจายกันร้องตามจุดต่างๆรอบฮอลล์ และในตอนแรกดูเหมือนจะมีความหวังนิดนึงว่าคยูจะเดินมาหา แต่สุดท้าย …
แอ้กกกกกก (เสียงเหมือนตกลงมาจากที่สูง –*)
เดินเลี้ยวขวาไปหานุ่นซะงั้น -“- แล้วก็ได้ซองมินมาแทน (เราคงทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนจริงๆสินะ เจอกันตลอดคอนทั้งสามปีเลย -*-)
แล้วก็ดื่มด่ำกับเสียงเพลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนในหลุมยืนกระโดดออกมายืนใต้เวทีเล็กตรงจุดที่ซองมินมายืนร้องพอดี ก็ได้สบตากันไปตามระเบียบ ปิ๊งๆๆๆๆๆ ^^
พอตอนจบก็เดินกลับไปทางเวทีใหญ่ตามเดิม
แต่เพลงนี้มี moment KyuMin เล็กๆน้อยๆ ตอนที่คยูกับซองมินเดินมาจาก Main stage ด้วยกันเพื่อจะไปประจำจุดของตัวเองที่เวทีเล็กแต่ละข้าง ปรากฏว่าซองมินแกล้งกระแทกแขนคยูซะเฉยๆ –* โดยปราศจากซึ่งเหตุผลในประการทั้งปวง .. แล้วก็ยิ้มกันอยู่สองคน
เอ้ออออออออออ เอาเข้าไป – -“

Rinaldo
Rinaldo เป็นเพลงที่อยากจะเขียนถึงมากที่สุดเพลงหนึ่งในคอนครั้งนี้ เคยได้ยินเสียงล่ำลือมาจากบ้านทรูว่าเค้าดูแล้วร้องไห้กัน .. ไอ้เราก็ไม่เคยเข้าไปศึกษา fancam หรืออะไรทั้งสิ้นนอกจากโหลด mp3 มาฟังอย่างเดียวตาม list เพลง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้มาเซอร์ไพรส์กันในฮอลล์เต็มที่ไปเลย
เพลงนี้บ้านทรูคังทึกมีโปรเจคสำหรับคังอินด้วยการชูป้ายประดาษที่เขียนคำว่า 기다린다 김영운 สำหรับคนที่ยืนในหลุมหน้าทั้งสองหลุมเป็นหลัก ซึ่งเท่าที่ตอนที่ยังมีสติสัมปชัญญะจะมองก็พบว่ามีป้ายชูขึ้นมาจากหลุมเยอะอยู่เหมือนกัน
แต่ใจความสำคัญของการบันทึกในครั้งนี้อยู่ที่ VCR … เพลงนี้เป็นเพลงบรรเลง เมมเบอร์แต่ละคนจะค่อยๆถูกเปิดตัวออกมาพร้อมกับการเล่นดนตรีกลางอากาศ เป็นคล้ายๆ Air band
เรียววุคเล่นเปียโน คยูเล่นคลาริเนต หลังจากนั้นมองไม่เห็นแล้วเพราะน้ำตากลบตาไปหมดเลย T^T
VCR ที่ทำมาอย่างดีเป็นภาพของคิมยองอุน (คนที่ไม่เคยคิดว่าจะคิดถึงได้ขนาดนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่เมนก็ตาม …) เดินมาลูบหัวเมมเบอร์ สัมผัสตัวเมมเบอร์ทีละคนตามลำดับการเปิดตัว จะมีจอสกรีนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งวางไว้เป็นฉากหลังเวลาเอสเจยืนประจำตำแหน่งเพื่อเล่นดนตรีกลางอากาศ แล้วภาพคังอินก็จะเอื้อมมือมาพอดีกับตำแหน่งของแต่ละคน
ตอนช่วงท้ายของเพลง (ที่ฟังใน ipdo แล้วคิดว่ายาวแต่ความจริงแล้วสั้นมาก) จะมีกระดาษรูปหัวใจโปรยลงมาจากเพดานอารีน่าให้คนในหลุมได้เก็บกันไว้เป็นที่ระลึก เขียนคำว่า Super Show3 ขณะที่ภาพของคังอินบนจอสกรีนจะเป็นภาพที่เขากำลังตะเบ๊ะอย่างงดงามแล้วก็ค่อยๆเดินหันหลังจากไปช้าๆ … จนเพลงจบลง
T T ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไงตอนที่ได้ดู แต่ที่แน่ๆในความรู้สึกของตัวเองก็คือมันตื้อๆแปลกๆ เวลาที่มองเห็นภาพคังอินบนจอสกรีนสัมผัสตัวของเมมเบอร์คนอื่นๆก็เกิดคิดขึ้นมาว่ามันจะเป็นยังไงถ้าวันนี้เขายังอยู่ด้วยกัน ได้ร้องเพลงด้วยกัน เต้นด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน … มันคงจะดีกว่านี้มากจริงๆ
แล้วหลังจากนั้น น้ำตาก็ไหล … จนจบเพลงก็ยังคงลากความซึมต่อไปอีกนิดหน่อยกว่าจะหาย
คังอินอา … คีดารินดา ~ ฮังซัง คีดารินดา … รู้ไว้เถอะนะว่า 항상 기다린다 …

진심 (All My Heart)
เพลงที่ชอบจริงๆใน repackage แต่ว่าน่าเศร้าที่มันต่อท้ายมาจากเพลง Rinaldo … เพราะฉะนั้น ก็เลยจำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้จริงๆ –*

Yesung’s Solo – 너 아니면 안돼 (It has to be you)
ปีก่อนที่เย่โซโล่ ถ้าจำไม่ผิด เห็นว่าโปรเจคครั้งนั้นเป็นตัวจุดประกายของการทำโปรเจคครั้งนี้ทั้งหมด ซึ่งก็ขอบอกเลยว่าทำได้ดีมากๆ ออกมาสวยงามมากๆเท่าที่จะขอความร่วมมือจากคนที่ไม่รู้จักกันได้
มาปีนี้ โปรเจคโซโล่เย่คือการให้โซนนั่ง 4500 และ 5000 ทั้งหมดชูป้ายกระดาษรูปก้อนเมฆเขียนว่า My Prince Cloud 에성 We’re Your Sky โดยที่โซน SE และ SK จะมีป้ายผ้าของบ้านเยซองให้ชูกันด้วย
แน่นอนว่าเพลงนี้เป็นเพลง (โคตร) ฮิตในหมู่เอลฟ์ไทย เพราะฉะนั้น แม้จะไม่ต้องอาศัยเนื้อเพลงที่เขาอุตส่าห์เตรียมเอาไว้ให้ในถุงของที่ต้องใช้ทำโปรเจค เสียงร้องเสียงอังกอร์ก็มาเต็ม !!!!!
ถึงขนาดว่าเย่ต้องถอดหูฟังของตัวเองออกเพื่อฟังเสียงเอลฟ์ให้ชัดๆและยื่นไมค์มาให้พวกเราช่วยร้อง ซึ่ง … เสียงดังฟังชัด พร้อมเพรียงมากๆ !!!!!!!
และแน่นอน .. ในเมื่อสามารถยื่นไมค์มาให้เราร้องและปล่อยเสียงทำนองบรรเลงไปได้อย่างอิสระ นั่นแปลว่าพี่เย่ของเราร้องสด !!!! ซึ่งมันเพราะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ผลงานคุณภาพจริงๆพี่ชายก้อนเมฆคนนี้
คาดว่าปีนี้ก็คงสามารถสร้างความประทับใจให้เย่ได้อีกครั้ง วัดได้จากคำว่า “ขอบคุณครับ” ก่อนที่จะลงจากเวทีไปนั่นไง ^^

미인아 (BONAMANA) (Dance Ver.)
โบนามานาที่มาพร้อมกับเสียงกรี๊ด
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ไม่รู้ทำไมต้องกรี๊ด รู้แต่ชอบอังกอร์เพลงนี้ ก็เลยต้องกรี๊ด 555555+ และแน่นอนว่าย่อมไม่มีผิดหวัง เพราะเสียงอังกอร์ยังคงกระหน่ำมาจากทุกสารทิศเหมือนเดิม และแม้ว่าตอนนั้นจะเป็นช่วงท้ายของคอนเสิร์ต (นั่นหมายความว่าอิป้าทางนี้กรี๊ดมาได้สองชั่วโมงกว่าแล้ว -*-) แต่เสียงอังกอร์ของดิฉันก็ยังคงอยู่ครบถ้วน 100% ไม่มีขาดแม้แต่น้อย จะกรี๊ดก็กรี๊ด แต่ก็ยังคงอังกอร์อย่างต่อเนื่อง ^^
เพลงนี้เต้นกันอยู่ที่ Main Stage ทั้งหมดตามสไตล์เพลงเร็วตอนใกล้จบคอน .. แต่ที่เร้าใจคือช่วงที่เพลงเพิ่งเริ่ม ไอ้เราก็มองหาคุณหัวหน้าก่อนเลย ดูเพื่อความมั่นใจว่า เฮ้ย !! ขึ้นคอนที่อื่นถอดเสื้อโชว์นี่หว่า แล้วที่นี่จะถอดด้วยไหม ?? แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ ถอดแน่ !!!!!!!!!!! เพราะคุณจองซูใส่สูทตัวนอกแคตัวเดียว ไม่ได้ใส่เสื้อไว้ข้างในเหมือนเมื่อตอนคอน PD หึหึหึ เสร็จดิฉันล่ะ …
เอาล่ะ เมื่อผ่านไปครึ่งเพลง วินาทีระทึกใจก็มาถึง … ลุงถอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด โชว์ไหล่ขาวๆพอเป็นกระษัย แต่คิมฮีช๊อลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล !!!!!!!!!!!! ยื่นมือมาลูบไล้ๆๆๆๆๆๆๆๆ ฮืออออออ ทีเมื่อก่อนหันหลังชนกันได้ เดี๋ยวนี้ทำไมคนนึงหนังหน้าอีกคนหันหลังแล้วล่ะ T^T
เห็นแล้วมันแปล๊บๆ ถึงขั้นขาหมดแรงไประยะหนึ่งเลยทีเดียวเชียว …
เออ .. คยูหล่ออ่ะ (-*-) (แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย นึกอยากจะเขียนก็เขียน -*-) หล่อจริงๆนะ !!!!!

갈증 (A Man In Love) (Concert Remix)
เพลงนี้ก็ยังคงอยู่ที่ Main Stage เหมือนเคย ร้องไปเต้นไปเพลินๆ แล้วคยูก็โผล่ขึ้นมาตรงจุดเดิม และท่าเดิม -/////////////- แล้วก็กรี๊ดเหมือนเดิม 555555+
แต่เพลงนี้มีพลุ !!!!! ^^ จุดพลุปุ้งปั้งตามเสียงกลอง มันดี ..

U (REMIX) + Dancing Out (REMIX)
เพลงยูคราวนี้วิ่งทั่วฮอลล์นะ ^^ แล้วจังหวะที่รีมิกซ์ใหม่ก็มันมาก ดูเร็วๆขึ้น เต้นมากขึ้น ซึ่งเมมเบอร์ก็พยายามจะเอนเตอร์เทนอิป้าแก่ๆแถวที่นั่งให้ลุกขึ้นมาเต้นให้ได้
ไอ้ตรงนี้ก็ค่อนข้างจะมั่วๆนิดหน่อยเพราะมากันเยอะจนจำไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่จำได้ก็คือพยายามเพ่งหัวเข็มขัดคุณจองซูมาตั้งแต่เพลงก่อน จนกระทั่งถึงเพลงนี้ที่มาวิ่งเริงร่าอยู่แถวๆเวทีเล็กฝั่ง SK SJ … ไอ้หัวเข็มขัดจะ LV ไหมนี่ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจมากก็คือ “สีแดง” ค่ะ (พยักหน้าผมกระจาย 1 ที) -จบ- 55555555+
แล้วก็รู้สึกว่าจะมีคนส่งกีตาร์เด็กเล่นสีชมพูๆขึ้นไปให้ซองมินเล่น พอเล่นจนพอใจก็ดูท่าว่าซองมินจะอยากให้แฟนๆเก็บเป็นที่ระลึก คุณก็เดินมาตรงที่นั่ง 6000 VIP ซึ่งมีคนประมาณ 3-4 คนพยายามยื้อแย่งด้วยการชูไม้ชูมือไปหาซองมิน และคงจะทำหน้าตาน่าสงสารกันจริงๆ ซองมินเลยตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกให้กีตาร์กับใคร ก็เลยหันหลังเดินไปหยิบของเล่นที่กองกันอยู่บนเวทีที่ถูกปาขึ้นมา 2 ชิ้นแล้วเดินกลับไปที่เดิม แต่ปรากฏว่าคราวนี้มีคนมารออีกเพียบ -*- เพราะฉะนั้น ซองมินก็เลยโยนๆมันลงไป ส่วนกีตาร์ก็เก็บเป็นของตัวเองไปตามระเบียบ 55555+
นอกจากนั้นก็มีคาราวานเอสเจที่นับจำนวนไม่ได้อีกกลุ่มนึงที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวๆหน้าโซน SG ที่ก็ได้สบตากันบ้าง มองเลยไปบ้างตามอัธยาศัย

Encore part

* VCR *
VCR นี้เป็น VCR น่ารักๆที่เล่าเรื่องเด็กน้อยคนนึงที่ไม่ชอบกินผัก ไม่ยอมกิน ทำยังไงก็ไม่กิน บรรดาผักทั้งหลายจึงพยายามหาหนทางให้น้องหนูกินพวกตัวเองเข้าไปด้วยการไปฟิตหุ่น (คยู), มาสก์หน้า, นวดตัว (ฮีนิม -*-), ฉีดยาทำให้ใบดก (เย่), … จนกระทั่งบรรดาผักดูมีสีสันน่ากินมากขึ้น เด็กน้อยจึงยอมกิน
แต่ที่ฮาคือหน้าผักและตัวผัก ตัวผักจะป้อมๆ สั้นๆ ดูเหมือนไม่นาจะเดินได้ ส่วนหน้าผักคือเอาหน้าเอสเอจแบบอึนๆหน่อยจะตัดต่อใส่ลงไป แถมเสียงก็ดัดให้มันเล็กๆแหลมๆน่าเกลียดๆ 55555+ โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่คุณผักๆทั้งหลายรวมตัวกันได้แล้วขาดแต่ผักกาด แกนนำผักคือพริกฮีก็รีบเรียกผักกาดขาวทึกเลยว่า “빨리! 빨리!” 555555+

요리왕 (Cooking Cooking!)
ผักมาเต็มเวที แต่ที่เห็นคือผักกาด บลอคโครี่ แล้วก็ถั่วงอก กะหัวหอมใหญ่นิดหน่อย –*
จริงๆแล้วก็เพราะมัวแต่ถ่ายวีดีโออยู่เลยไม่ได้มองให้ทั่วนั้นเอง … รู้แต่ว่าบลอคโครี่เย่พยายามจะเอาแว่นตาสีเขียวไปนำเสนอให้ผักกาดทึกใส่ กับแว่นตาสีเหลืองไปให้ถั่วงอกฮยอกใส่ ซึ่งทั้งสองผักก็ยอมใส่ 55555+
ซึ่ง … จำได้เท่านั้นเองทั้งเพลง – -“
แต่เอาล่ะในเมื่อจำรายละเอียดอื่นๆไม่ได้ก็มารายงานดีกว่าว่าใครเป็นผักอะไรกันบ้าง …
พี่ทึก – ผักกาด ฮีนิม – พริกแดง เย่ – บลอคโครี่ ชินดง – เห็ดโคน ซองมิน – ฟักทอง ฮยอกแจ – ถั่วงอก ทงเฮ – หัวหอมใหญ่ ซีวอน – แครอท เรียววุค – มะเขือเทศ คยู – พริกหยวกเขียว

차근 차근 (Way For Love) + You are the one
ช่วงเดินทั่วฮอลล์ … ก็มั่วกันไปมั่วกันมา หลังจากที่ถอดชุดผักออกแล้วก็เดินกระจายกันไป เริ่มจากเวทีกลางวงกลมที่เป็นที่วางชุดผักคืนเอาไว้ (โดยมีเยซองเป็นผู้จัดชุดผักให้ตั้งเรียงกันอย่างตั้งใจ –*)
แน่ๆเลยคือเห็นฮยอกแจไปหยิบกล้ามปลอม (กระดาษที่ปริ้นเป็นรูป 6 ห่อ) มาใส่แล้วก็เดินไปอวดซีวอน – -“ ซึ่ง .. จะอวดเพื่อออออออ ?? 555555555+ แต่ก็น่ารักดีล่ะจ้ะ ^^
แล้วก็ที่จำได้ชัดๆคือพี่ทึก … พี่ทึกเดินมาหาแถวๆโซนที่นั่ง ซึ่งใกล้มากกกกกกกกกกกจริงๆ แล้วก็ทำการไหว้ ไหว้ ไหว้ และไหว้ทุกๆคน T^T ที่สำคัญคือไหว้สวยด้วย !!! ตั้งใจไหว้เลย แบบว่าผมนี่สะบัดพรึ่บๆ 5555+ ไหว้แล้วก็ทำท่าซารางเฮ ให้ทั้ง 4 ทิศรอบตัวเลย ทั้งที่หน้า 6000 แล้วก็เวทีเล็กตรงหน้า SE SF ด้วย
ดูแล้วประทับใจจริงๆ
ไม่รู้ว่ารู้รึเปล่าว่าการไหว้นี่เค้าไม่ให้ไหว้คนที่เด็กกว่า 555555+ ไม่รู้ว่าป่านนี้ผมหงอกไปกี่เส้นแล้วเนี่ยเรา -*- ฮ่าๆๆ
อ่อ แล้วก็มีทงเฮกับเรียววุค (อีกมักเน่ที่แทบไม่ได้เห็นหน้ากันเลยตลอดคอน – -“) มาเล่นอยู่ตรงเวทีเล็กที่ว่า แล้วชินดงก็ตามมาถ่ายรูปให้ ระยะนี้คุณเฮก็ยังคงมาใกล้ตัวใหญ่เต็มจออย่างเดิม !!!
แล้วก็ยังมีฮยอกแจ แล้วก็คยูฮยอนที่ขาววววววววไปอีกสามโลกมาอยู่ตรงเวทีเล็กด้วย

MENT
จบสองเพลงนั้นไปก็เป็นการหลอกกันว่าคอนจบแล้ว 555555+ มีการพูดขอบคุณ อา .. พี่ทึกพูดว่า “ขอบคุณสำหรับ Event ครับ” ด้วย ซึ่งประโยคนี้ก็พูดอยู่หลายครั้งตลอดคอน (ประมาณ 2-3 ครั้งเลย) คาดว่าคงประทับใจจริง ^^
แล้วก็มีการทำโปรเจคแปรอักษรที่ชั้นสองซึ่งเอสเจเห็นแน่นอน เพราะเห็นว่าพี่ทึกกับฮีนิมคุยกันอยู่สองคนเรื่องนี้ ประมาณว่าอ่านตัวอักษรกันอยู่ ^^
หลังจากพูดๆๆก็กลับเข้าหลังเวทีไปแล้วก็ออกมาอีกครั้งพร้อมกับเพลงสุดท้ายจริงๆ

Wonder Boy
เพลงวิ่งรอบฮอลล์ แต่รู้สึกว่าคราวนี้จะมีวิ่งลงไปหาหลุมด้วย !!!!!!!! วิ่งลงไปข้างรั้วที่กั้นระหว่างหลุมกับเวที มีพี่ทึกกับทงเฮลงไปแน่ๆ แต่คนอื่นๆมองไม่เห็นว่าลงรึเปล่า
ไปหลุมก็คุ้มตรงนี้ล่ะนะ …

หลังจากจบ Wonder Boy ก็เป็นเวลาของการจากลาจริงๆแล้ว ฮยอกแจเดินนำแถวเมมเบอร์ทั้งหมดขอบคุณไปรอบๆฮอลล์อารีน่า ผ่านทั่วทั้งฮอลล์ ไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่ทิ้งให้โซน SK SJ เป็นหม้ายไป –*
แล้วไปสิ้นสุดที่ Main Stage ซึ่งพี่ทึกได้เรียกเฮนรี่กะโจวมี่ออกมาพูดด้วย หลักใหญ่ใจความก็พูดขอบคุณที่ให้ความสนับสนุนเป็นอย่างดีแล้วก็พูดถึง SJ-M ที่กำลังจะปล่อยผลงานออกมาในไม่ช้า แล้วยังบอกว่ามีโอกาสจะกลับมาที่ไทยอีกครั้ง
คอนเสิร์ตครั้งนี้จบลงด้วยการบอกลากันอย่างที่ว่า แล้วเอสเจก็เดินเข้าหลังเวทีไป พร้อมกับที่เอลฟ์ค่อยๆทยอยกันออกจากฮอลล์ไปรอส่งกลับ
เวลากลับเที่ยวนี้ค่อนข้างช้ากว่าปีก่อนมาก ปีก่อนกลับประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ แต่ปีนี้กว่าเอสเจจะออกจริงๆประมาณห้าทุ่มนิดๆ ซึ่งไม่ทันได้รอส่งเพราะดึกมากไป แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่นั่งรถพ่อกิ่งกลับบ้านก็พบว่ามีรถตู้เปิดไฟฉุกเฉินไม่ต่ำกว่า 3-4 คันวิ่งตัดหน้าไปพร้อมด้วยรถตำรวจอีก 2 คันนำทาง – -“
ดิฉันก็จะถือว่าได้ส่งเอสเจกลับตรงตีนทางด่วนเลยแล้วกันนะ … -“-

ในที่สุด คอนเสิร์ตครั้งที่รอคอยมานานครั้งนี้ก็จบลงไปแล้ว โดยที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำ ได้ดูอย่างดีที่สุดแล้วรึเปล่า ได้เก็บความทรงจำดีๆ ความสนุก เสียงหัวเราะ ความรื่นเริงที่พวกเขาทั้งหมดมอบให้ไว้อย่างเต็มที่แล้วหรือยัง เพราะถ้าเป็นจริงอย่างที่พี่ทึกพูดและที่คนอื่นๆคาดการณ์ ก็มีโอกาสสูงว่านี่จะเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของ Super Junior
เราเป็นคนไทย … อยู่ที่ห่างไกลข้ามน้ำข้ามทะเล … ไม่มีโอกาสได้ซึมซับทุกบรรยากาศดีๆ ถ้านี่เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ต่อให้ทำดีแล้วก็คงต้องเสียใจ
ผู้ชายสิบสามคน แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ก็ได้สอนบทเรียนมากมายให้ได้รู้จัก บทเรียนที่จะหาไม่ได้จากที่ไหน ความสุขที่จะหาไม่ได้จากที่ไหน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และน้ำตาที่จะหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว …
ขอบคุณที่เกิดมา ขอบคุณที่ได้เจอกัน ขอบคุณจริงๆ
ถ้านี่เป็นครั้งสุดท้าย ฉันก็จะขอจดจำมันไว้ ว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตก็ได้เคยทำอะไรให้กับคนที่ไม่รู้จักกันได้มากมายขนาดนี้
항상 사랑해요 …

Clip 101030 ThaiTV3 campaign spot Heenims item appeared

30 Oct

Clip 101030 ThaiTV3 campaign spot Heenims item appeared.

[SF AU KangTeuk] Underneath the Rain

14 Oct

ฟิกเรื่องนี้ก็สวยดีนะ แต่งเองอีกเหมือนเดิม ~ ^^

Title :: Underneath the Rain
Pairing :: Kangin x Leeteuk
Author :: ParkSooHyun
Rating :: PG-13
Genre :: AU

Author’s Note :: เรื่องราวทั้งหมดที่แต่งขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะพาดพิงถึงบุคคลใด

————————————————————————

Underneath the Rain

คงเป็นเวลาเย็นมากแล้วเมื่อแสงสีส้มอมทองเริ่มทาทับระไล่สีมาตั้งแต่ปลายสุดของเส้นขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ดวงโตที่สาดส่องให้แสงสว่างในยามกลางวันค่อยเคลื่อนคล้อยลาลับลดลงสู่อีกฟากฝั่งของโลกกลมๆใบเดียวกันนี้

ใบไม้แห้งปลิดปลิวออกจากขั้วยามเมื่อต้องสายลมอ่อน ปลายสุดของเส้นทางการเคลื่อนตัวจบลงตรงปลายเท้าของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งก้าวเดินออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยด้วยใบหน้ามึนซึม สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใดนอกไปเสียจากการแอบงีบหลับไปกว่าชั่วโมงเมื่อครู่

ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคิมยองอุนคนนี้ไปเสียแล้ว…

ยามเมื่อมีงานกลุ่มที่ต้องเรียกรวมตัวกันอย่างเร่งด่วนในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน ไม่ว่าเพื่อนสมาชิกในกลุ่มจะรีบร้อนและหัวเสียมากแค่ไหน แต่สำหรับหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินทอดน่องออกจากประตูมหาวิทยาลัยคนนี้ ดูเหมือนว่าเรื่องการทำงานจะเป็นเรื่องเล็กน้อยและน่าเบื่อมากเสียจนเขาพร้อมจะงีบหลับไปได้ทุกเมื่อหากไม่มีใครมอบหมายสิ่งใดมาให้เป็นหน้าที่ในช่วงเวลาห้านาทีแรกของการรวมตัว แล้วก็ถึงจะมอบหมายงานไปแล้วก็ตาม ยองอุนก็ยังสามารถล้มตัวลงนอนได้อย่างหน้าตาเฉยดังเช่นเมื่อครู่

นิ้วยาวอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นแยงเข้าไปในหูของตนเมื่อเสียงตวาดดังก้องของคิมฮีชอล พี่ชายหน้าหวานร่วมชมรมเมื่อสักครู่ดูเหมือนจะยังไม่เลือนหายไป

‘คิมยองอุน!!! ที่ฉันสู้อุตส่าห์ไปตามแกให้มาที่นี่ไม่ใช่เพื่อให้แกมานอนหลับสบายนะเว้ย หัดแหกตาขึ้นมาดูบ้างว่าคนอื่นเขาทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลังแค่ไหน มีแกเนี่ยแหละที่ไร้สามัญสำนึกมานอนอืดอยู่คนเดียว ลุกขึ้นมาเลยนะ แล้วก็ย้ายก้นตัวเองออกไปจากที่นี่ได้แล้วด้วย คนอื่นเขากลับกันหมดแล้วเว้ย’

เสียงโวยวายที่แทบทำให้ตึกถล่มลงมาตรงหน้าแม้จะได้มือแข็งแรงของพี่ฮันกยอง นักเรียนทุนแลกเปลี่ยนจากจีนแผ่นดินใหญ่มาช่วยฉุดรั้งร่างที่ทำท่าว่าต้องการจะประทุษร้ายร่างกายสักส่วนของเขาไว้แล้วก็ตาม

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้ว่าพี่ฮีชอลจะแสดงท่าทางราวกับอยากจะกระโจนมาขย้ำคอเขาให้ได้เสียเดี๋ยวนั้นก็ตาม แต่งานทั้งหลายทั้งแหล่ที่พี่ชายร่างเพรียวมอบหมายมาให้เขาที่อู้อย่างจงใจก็ถูกทำให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยด้วยมือของเจ้าตัวเอง

ซ้ำร้ายก่อนที่เขาจะเดินจากมา เสียงตะโกนด้วยความหวังดีแกมประชดไล่หลังของพี่ฮีชอลยังทำให้เขาอดจะยิ้มออกมาไม่ได้

‘พรุ่งนี้มีสอบนะอ้วน คืนนี้อย่ามัวแต่นอนอืดล่ะแก อ่านหนังสือซะด้วยล่ะ’

ยองอุนยิ้มกับตัวเอง

นี่แหละพี่ฮีชอล…ต่อให้เป็นห่วงใครเขาแค่ไหน ทางที่จะแสดงความรู้สึกออกมาก็คงมีแค่การพูดจากระโชกโฮกฮากตามนิสัยของเจ้าตัวเท่านั้น แต่สำหรับยองอุนแล้ว เขาที่รู้จักกับพี่ชายร่างบางมาเกือบเท่าระยะเวลาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้นั้นสามารถเข้าใจและรับนิสัยแปลกๆนั้นได้ ในทางกลับกัน ชายหนุ่มยังถือว่าเป็นเรื่องโชคดีเสียอีกที่ได้พบเจอและได้รู้จักกับพี่ชายนิสัยดีที่ปากไม่ตรงกับใจคนนี้

เส้นทางปูอิฐทอดยาวไปเบื้องหน้า ด้านข้างซ้ายขวาเรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ปลูกประดับให้ร่มเงาทิ้งช่วงห่างเท่าๆกันตลอดแนวทางเดิน ที่สุดปลายทางเป็นสถานที่ที่หอพักนักศึกษาของยองอุนตั้งอยู่

และแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นจนเกือบเข้าพลบค่ำแล้วก็ตาม หากกลับยังมีนักศึกษาบางคนขี่จักรยานออกมาจากหอด้วยต้องการแวะมาซื้อของกินกลับเข้าไปตุนเอาไว้เป็นเสบียงในยามดึก เช่นเดียวกับรุ่นน้องร่างท้วมที่ส่งยิ้มแป้นมาให้แต่ไกล

“อ้าวพี่ เพิ่งกลับจากมหาลัยเหรอ มีงานหรือไง”

ยองอุนพยักหน้ารับส่งๆ “เออ แต่ไม่ใช่งานฉันหรอก”

แว่วได้ยินเสียงหัวเราะก่อนที่จักรยานคันนั้นจะถูกจอดเทียบลงข้างร่างของยองอุนส่งผลให้ชายหนุ่มจำต้องหยุดยืนคุยไปตามระเบียบ

“ไม่ใช่ว่าพี่มัวแต่นอนหลับอยู่หรอกเหรอ”

คนฟังพลอยหัวเราะตาม “ทำเป็นรู้ ทำไม กิตติศัพท์ฉันดังไปทั่วมหาลัยแล้วงั้นสิ”

รุ่นน้องตัวโตไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากเสียงหัวเราะที่ทำให้ใครก็ตามที่ได้ฟังอารมณ์ดีตามไปด้วย ยองอุนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นต่อจากนั้น

“แล้วนายล่ะชินดง จะปั่นจักรยานไปไหนเย็นๆแบบนี้”

ชินดงหัวเราะดังขึ้นอีก มือใหญ่ชี้ไปทางมินิมาร์ท “ไปซื้อเสบียงน่ะสิพี่ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันกลายเป็นคนใช้ซองมินไปแล้ว วันนี้เห็นบอกว่าจะมีน้องมาค้างห้องด้วย ไม่รู้น้องหรือใครกันแน่ ดี๊ด๊าน่าดู”

ร่างสูงขยับยิ้มตามเมื่อนึกไปถึงซองมินเพื่อนตัวเล็กของชินดง เด็กที่มักจะพูดจาสุภาพกับเขาที่เป็นพี่อยู่เสมอ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถออกปากใช้ใครเป็น

“ฉันว่าฉันรีบไปดีกว่าพี่ ขืนช้าเดี๋ยวฝนตกจะโดนซองมินด่าเปล่าๆ พี่ก็รีบกลับล่ะ” น้องชายตัวใหญ่บอกไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะถีบจักรยานจากไป

ยองอุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จากสีส้มที่ว่าได้เห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าบัดนี้กลับเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทึมๆเสียแล้ว ขายาวรีบก้าวตรงไปเบื้องหน้า ต่อให้แข็งแรงแค่ไหนแต่เขาก็ยังไม่อยากเสี่ยงกับตัวการใหญ่ที่อาจทำให้ไม่สบายได้ง่ายๆในวันพรุ่งนี้ที่มีสอบ แล้วยิ่งกับคืนนี้ต้องท่องหนังสือดึกเสียด้วย

ตัวอาคารทรงสูงปรากฏให้ได้เห็นแล้วเมื่อชายหนุ่มจ้ำฝีเท้าเดินมาตามทางเรื่อยๆ ประตูทางเข้าตึกที่อยู่ไม่ไกลทำให้เจ้าของร่างสูงยอมผ่อนฝีเท้าลง แล้วสุดท้ายจึงได้ตระหนักว่าตัวเองคิดผิดมากเพียงใดเมื่อพบว่าฝนเม็ดใหญ่พร้อมใจกันกระหน่ำเทลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้เนื้อตัวเปียกปอนได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีดี

ยองอุนมุ่งหน้าตรงไปยังทางเข้าหอพักนักศึกษา ตั้งใจว่าจะเอาหนังสือเรียนที่คงบวมน้ำคามือไปแล้วไปตากลมในห้องเสียหน่อยเมื่อหางตามองเห็นถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ทำให้ขายาวต้องหยุดชะงักลง

ที่สนามหญ้าด้านหน้าตึกที่เป็นที่ตั้งของชิงช้าไม้ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าเหตุใดจึงนำเอาชิงช้ามาเป็นของประดับในสนามของหอพักชาย ยองอุนไม่ได้ตาฝาดไปอย่างแน่นอนเมื่อเขาเห็นคาตาว่าตัวชิงช้าแกว่งไกวน้อยๆทั้งที่เมื่อแหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มปกคลุมเหนือขึ้นไปนั้น

ไม่มีใบไม้สักใบริอาจขยับ…

อดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่อยู่ท่ามกลางสายฝนหนาวเย็นเมื่อตระหนักชัดว่าสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นสิ่งที่แผกออกไปจากปกติ เขาเองก็เดินผ่านสนามแห่งนี้ออกบ่อยครั้ง หากไม่มีครั้งใดเลยที่การเดินผ่านจะชวนให้เขาอยากวิ่งหนีได้เท่าครั้งนี้

สิ่งที่คิมยองอุนกลัวที่สุดก็คือผี

ถูกแล้ว…ยองอุนกลัวผี ก็ผู้ชายตัวใหญ่ที่กล้ากับเรื่องชกต่อยทุกเรื่องบนโลกใบนี้ไม่อาจใช้กำลังต่อรองกับสิ่งที่สัมผัสไม่ได้เช่นนั้นได้ ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน ผีก็คือผี

เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ชายหนุ่มทำต่อจากวินาทีที่แหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็คือรีบวิ่งตรงเข้าไปในหอทันทีโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองอีกเลย

หลายชั่วโมงต่อจากนั้น เสียงเปาะแปะที่ดังอยู่ก็ยังไม่จางหายไปคงด้วยเม็ดฝนสาดกระทบกระจกหน้าต่างไม่สามารถรบกวนสมาธิของยองอุนได้เมื่อร่างสูงยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆในห้องพักสำหรับสองคนที่เขาเช่าไว้คนเดียว

ยองอุนไม่ชอบให้ใครมารบกวนความเป็นส่วนตัวเป็นสาเหตุให้เขาไม่ต้องการแชร์ห้องกับใคร

ดวงตาคมเหลือบขึ้นจากหน้ากระดาษเป็นครั้งแรกเพื่อมองหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะ เข็มยาวชี้เลขหนึ่งและเข็มสั้นที่ชี้เลขสิบเอ็ดทำให้เขารู้ว่าเวลาที่เขาจดจ่ออยู่กับตำราเรียนนั้นมากพอสมควรแล้ว มือหนายกขึ้นขยี้ตาเบาๆเพราะรู้สึกถึงความแสบล้า ชายหนุ่มตัดสินใจเดินไปชงกาแฟมาดื่มในท้ายที่สุด

แก้วกาแฟควันกรุ่นถูกกุมไว้โดยฝ่ามือใหญ่เมื่อเจ้าตัวเดินตรงไปยังหน้าต่างของห้องพักซึ่งถูกปิดบังสายตาจากคนภายนอกโดยผ้าม่านสีอ่อน เสียงฝนที่ยังไม่ซาเม็ดทำให้ร่างสูงแหวกผ้าม่านออกดู

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นไปดังที่จินตนาการไว้ สายฝนกระหน่ำโดยมีพื้นหลังเป็นท้องฟ้าสีส้มแดงๆที่เริ่มจางสีลงเพราะได้ปล่อยหยดน้ำลงสู่พื้นเบื้องล่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หากในท่ามกลางความมืดมิดที่สามารถจินตนาการได้กลับปรากฏสิ่งหนึ่งเดียวที่สะดุดสายตาคมให้ต้องเพ่งมอง

หน้าต่างห้องที่เปิดสู่วิวด้านพื้นสนามหญ้าหน้าหอพัก บนชิงช้าไม้เก่าๆปรากฏร่างบอบบางนั่งนิ่งงันไม่ขยับท่ามกลางเม็ดฝนตกกระหน่ำ ดวงตาคมกล้าพยายามเพ่งมองใบหน้าที่มองเห็นได้ค่อนข้างยากจากความสูงระดับที่เขายืนอยู่นี้ เสียงทุ้มพูดกับตัวเองแผ่วเบา

“ใครกัน…”

สิ้นสุดคำถามต่อตัวเอง ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดแหงนเงยขึ้นมองราวกับจะล่วงรู้ถึงสายตาของนักศึกษาหนุ่มที่จับจ้อง ดวงตากลมโตคงเป็นสิ่งแรกที่สะกดสายตา ถัดมาก็คงเป็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม แต่ถึงกระนั้นก็บอกชัด

…ไม่ใช่คนในหอนี้…

ยองอุนทิ้งผ้าม่านลงปิดบังหน้าต่างไว้เช่นเดิม แก้วกาแฟที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งถูกวางลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ ร่มพลาสติกตรงมุมห้องที่ไม่คิดใช้อยู่ในมือร่างหนาเมื่อยองอุนก้าวลงมายืนที่ชั้นล่าง ชายหนุ่มร่างสูงกางร่มออกเมื่อพาตัวเองมายืนอยู่นอกชายคาตึก ขายาวรุดก้าวตรงไปยังร่างที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ชิงช้าตัวเดิม

ร่มคันไม่ใหญ่นักเลื่อนไปกางกั้นไว้เหนือศีรษะของร่างที่เงยหน้าขึ้นมอง เสียงห้าวถามออกไป

“ทำไมถึงมานั่งตากฝนอยู่ตรงนี้ ไม่กลัวเป็นหวัดไปหรือไง”

แปลกนัก ก็กับคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นเป็นการส่วนตัว ถึงขั้นมั่นใจได้ด้วยซ้ำว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทำไมจึงต้องพูดถ้อยคำที่เหมือนกับห่วงใย ทำไมต้องวิ่งตากฝนออกมาหา

อาจเพราะดวงตากลมโตคู่สวยที่กำลังจับจ้องเขาอยู่ตอนนี้…หรือเพราะเรียวปากสีสดที่กำลังแย้มรอยยิ้มให้เขาอยู่ตอนนี้

ไม่ล่ะ…ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเสียหน่อย คิมยองอุนคนนี้ก็แค่มีมนุษยธรรมเท่านั้น เขาคงไม่สามารถดูดายเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกผู้กำลังตากฝนอยู่ได้หรอก

“นายมองเห็นฉัน?” เสียงใสเอ่ยถามย้อนกลับ

คำถามแปลกๆยังไม่เท่าน้ำเสียงไพเราะที่ดูจะก้องกังวานผิดปกติ ซ้ำยังผิวหน้าขาวเนียนละเอียดที่ไม่มีเค้าว่าเคยตากฝนมานานเลยแม้แต่น้อย ต่อมความสงสัยของยองอุนถูกปลุกกระตุ้นให้ทำงานอีกครั้ง หากชายหนุ่มก็ยังปัดมันออกไปจากใจเมื่อถึงอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าคนที่เขาแบ่งปันร่มให้อีกกว่าครึ่งดูจะโต้ตอบกับเขาได้อย่างเป็นปกติ

ผีที่ไหนจะคุยกับคนได้…จริงไหม?

ยองอุนตอบคำถามของอีกคนกลับไป “ทำไมฉันจะมองไม่เห็นล่ะ นี่นั่งตากฝนมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”

“นานแค่ไหน?” เสียงใสทวนคำถามของเขา ใบหน้าสวยหวานกระเดียดไปทางผู้หญิงหากไม่สังเกตว่าเครื่องแต่งกายบอกชัดว่าเป็นชายฉายแววสับสนน้อยๆ

นี่กับแค่คำถามว่านั่งอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนมันยากเย็นถึงขนาดต้องคิดเลยเหรอเนี่ย…

สุดท้ายแล้ว รอยยิ้มสวยที่จุดขึ้นที่มุมปากพร้อมกับใบหน้าที่หันมาให้คำตอบก็แทบจะทำให้ยองอุนปล่อยร่มเพื่อเอามือกุมขมับเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ไม่รู้สิ”

เห็นหน้าซื่อๆตาใสๆแบบนั้นแล้วชายหนุ่มก็ไม่คิดต่อคำ เลี่ยงไปถามคำถามอื่นแทนเสีย “โอเค ไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้ว…นายมารอใครรึเปล่า นายไม่ใช่คนในหอนี้นี่”

ผิดวิสัยที่ต้องมายืนซักถามประวัติกันท่ามกลางสายฝนกระหน่ำแบบนี้ แต่ที่ถามก็แค่เพราะรู้สึกถึงเสียงร้องเตือนบางอย่างในใจ เสียงร้องเตือนที่ไม่พ้นตัวเขาคงต้องถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนตัวเล็กบางตรงหน้า แล้วเสียงเตือนที่ว่านั้นก็ไม่ผิดเสียด้วยเมื่อคนที่นั่งตากฝนอยู่เป็นนานตอบกลับมาหน้าตาเฉย

“รอ…รอนายไง”

เหอะ ถึงจะคาดไว้แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ร่างสูงชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ตาคมเบิกกว้าง

“รอฉัน? แน่ใจนะ นายจำคนผิดหรือเปล่า ฉันแค่บังเอิญหน้าตาไปเหมือนเพื่อนนายรึเปล่า”

คนที่นั่งปักหลักอยู่ที่ชิงช้าไม้มานานลุกขึ้นยืน เส้นผมพลิ้วระต้นคอเมื่อร่างนั้นขยับกาย เกินกว่าจะเบี่ยงตัวหลบได้ทันเมื่อมือเรียวขาวทั้งสองข้างเอื้อมมาแตะสัมผัสที่ข้างแก้มของเขา ความเย็นวาบที่ต้นคอซึ่งหาสาเหตุไม่เจอทำให้ยองอุนตัวแข็งทื่อ ทำได้เพียงมองใบหน้าขาวที่อยู่ตรงหน้าและดวงตากลมโตที่ไล่มองเครื่องหน้าของเขาพร้อมกับที่คนตัวเล็กบังคับให้เขาหันหน้าไปมาซ้ายขวา

แรงเยอะ…แต่ไม่อาจต่อต้าน

ดวงตากลมๆนั้นพินิจมองละเอียดลออ ในแววตาไม่ได้เป็นอื่นนอกไปเสียจากความสงสัยเท่านั้น ท้ายสุดแล้ว เจ้าของมือเรียวเย็นเฉียบก็ปล่อยใบหน้าเขาออกพร้อมกับที่เจ้าตัวส่ายหัวดิกจนเส้นผมสีน้ำตาลนั้นพลิ้วสะบัดไปมา

“ไม่เหมือนหรอก หน้านายไม่เหมือนเพื่อนคนไหนของฉันสักคน”

คนร่างสูงกว่ายังยืนนิ่ง ตราบจนเมื่อเริ่มจะรู้สึกตัวว่าใบหน้าของทั้งเขาและคนตัวเล็กกว่าคนนี้อยู่ใกล้กันมากเพียงใด ขายาวจึงถอยออกมาอีกก้าวหนึ่ง ยองอุนลอบถอนหายใจ

ตกลงว่าเมื่อกี้ก็แค่พลิกหน้าเขาดูว่าเหมือนเพื่อนตัวเองรึเปล่าเท่านั้น ชายหนุ่มนึกอยากจะถามคนตรงหน้าเสียเหลือเกินว่าเคยใช้วิธีนี้ไปแล้วกี่ครั้งกันแต่ก็ไม่กล้า สิ่งที่ยองอุนทำได้จึงเพียงแค่กระแอมกระไอเรียกเสียงของตัวเองกลับมาเพื่อถามไถ่อีกฝ่ายต่อไป

“ไม่เหมือนแล้วบอกว่ารอฉันทำไม เรารู้จักกันด้วยเหรอ”

ร่างบางกระพริบตา เสียงที่ตอบกลับเรียบเฉยราวกับมันเป็นปัญหาง่ายๆที่ใครก็ตอบได้ “เปล่า แต่นายมองเห็นฉัน”

“ห๊ะ?” อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ แบบนี้ก็มีด้วย แค่มองเห็นก็แปลว่ามารอเขาแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ

“ทำไมล่ะ เราไม่ได้รู้จักกัน แต่นายมองเห็นฉันนี่”

มือข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นเกาหัวแกรก เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ “ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหนเลย”

ใบหน้าขาวใสของคนตัวเล็กที่ได้เห็นแฝงแววผิดหวังและเศร้าสร้อยอยู่ในที ถึงกระนั้น เจ้าของใบหน้าเรียวก็กลับพยักรับคำของร่างสูง ขาเรียวเล็กภายใต้กางเกงขายาวสีขาวถอยกลับไปนั่งบนชิงช้าไม้ตามเดิม เสียงหวานใสกังวานก้องกล่าวไม่ดังนัก

“อืม นั่นสินะ เราไม่รู้จักกันก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันตรงไหนเลย ถ้าอย่างนั้นนายก็กลับขึ้นไปเถอะ ให้ฉันนั่งรอคนอื่นต่อไปก็ได้”

ยองอุนรับรู้ได้จากน้ำเสียงว่าคนพูดไม่ได้มีเจตนาจะประชดประชัน คำที่พูดออกมาคงเป็นสิ่งที่เจ้าตัวรู้สึกจริงๆ และสำหรับเขาที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับคนตัวเล็กคนนี้ก็ควรจะทำตามนั้น เพียงแต่ขายาวกลับไม่ยอมขยับไปไหน ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมกับร่มคันเดิม

เขากำลังรู้สึกผิด…

ก็ถ้าเขาไม่คิดจะช่วยเหลือคนคนนี้จริงๆแล้วทำไมจึงได้วิ่งลงมาพร้อมกับร่มในมือคันนี้ ก็ถ้าเขาคิดอย่างที่คนร่างบางตรงหน้าพูดแล้วทำไมจึงไม่ทิ้งเจ้าของร่างนี้ให้นั่งอยู่คนเดียวเสียตั้งแต่ต้น

“เฮ้อ…” เสียงถอนหายใจยาวใหญ่ดังขึ้นก่อนที่ยองอุนจะเอื้อมมือไปดึงแขนเล็กภายใต้เสื้อแขนยาวสีขาวดุจเดียวกับกางเกงให้ลุกยืน

เจ้าของแขนเรียวมองใบหน้าคมอย่างไม่ค่อยเข้าใจ เสียงหวานเอ่ยถามสั้นๆ “อะไร?”

“ก็…มารอฉันไม่ใช่เหรอไง ฉันก็ลงมาแล้วนี่ เพราะงั้นก็ขึ้นไปที่ห้องฉันได้แล้ว ตากฝนอยู่แบบนี้มันดีต่อสุขภาพที่ไหนกัน”

ดวงตากลมคู่สวยเลื่อนไปจับยังมือใหญ่ที่ยังคงจับต้นแขนของตนอยู่ รอยยิ้มสวยเผยขึ้นพร้อมกับลักยิ้มซึ่งเป็นสิ่งที่สองบนใบหน้านี้ที่สะกดสายตาของยองอุนให้มองตาม เสียงจากคนตรงหน้าที่ได้ยินอดจะทำให้นักศึกษาหนุ่มแย้มรอยยิ้มกว้างออกมาไม่ได้

“ขอบคุณนะ”

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

จากบานหน้าต่างกระจกใสเหนือขึ้นไปสองชั้น ใบหน้ากลมๆของชินดงปรากฏให้เห็นผ่านรอยแยกของม่านบาง ดวงตาทั้งสองข้างที่เพ่งมองไปยังพื้นสนามหญ้าหน้าหอฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด

“ซองมินนี่…” เสียงทุ้มตัดสินใจเรียกชื่อรูมเมทของตนในท้ายที่สุด

“หืม?”

มือใหญ่เอื้อมไปดึงแขนเสื้อนอนย้วยๆของเพื่อนตัวเล็กให้มาเกาะกระจกหน้าต่างด้วยกันเมื่อสิ้นสุดเสียงขานรับแล้วเจ้าของชื่อก็ยังไม่ยอมเดินมาหา ซองมินมองอีกคนงงๆ

“อะไร อยู่ดีๆก็ลากมา”

“ดูนี่สิ”

แหวกรอยแยกของม่านออกให้กว้างขึ้นเพื่อให้เพื่อนมองเห็นได้ถนัด ที่สนามเล็กๆข้างชิงช้าไม้ตัวนั้น ร่างที่ยืนถือร่มพลาสติกอยู่คือ…

“นั่นมันพี่ยองอุนนี่” เบนหน้ากลับไปมองชินดง

รูมเมทร่างใหญ่พยักหน้ารับ “ฉันเห็นพี่เขายืนอยู่ตรงนั้นได้พักนึงแล้วเลยเรียกนายมา”

ซองมินเลื่อนสายตาลงไปมองอีกครั้ง ตอนนี้พี่ยองอุนยังคงยืนถือร่มอยู่ข้างชิงช้าตัวเดิม ท่วงท่าอาการราวกับว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ทั้งที่รอบข้างนั้น

…ไม่มีใครเลยแม้สักคน…

เสียงของชินดงเอ่ยถามขึ้นหลังจากนั้น “นายว่ายังไงล่ะ พี่เขาเหมือน…กำลังคุยอยู่กับใครใช่ไหม”

คนฟังเงียบไปพักหนึ่งจึงถอนหายใจออกมา “เฮ้อ…ไม่รู้สิ ไม่อยากจะคิด ช่างเหอะชินดง ฉันว่ารีบๆไปเข้านอนจะดีกว่า พรุ่งนี้มีเรียนเช้านะ”

ซองมินเดินจากไปได้พักหนึ่งแล้วหากทว่าชินดงกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาทั้งคู่เพ่งมองตามร่างของพี่ชายจวบจนกระทั่งร่างนั้นเดินกลับเข้าหอพักไป คำถามที่ยังคงค้างคาใจกับภาพที่ปรากฏให้เห็นสดๆร้อนๆดังก้องอยู่ในหัวไม่จางหาย

…พี่ยองอุนคุยกับใครอยู่?…

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

ห้องพักขนาดสองคนอยู่แต่กลับถูกจับจองพื้นที่ทั้งหมดไว้โดยคนเพียงคนเดียวในตอนนี้ได้ถูกเปิดออกเพื่อต้อนรับผู้มาใหม่แล้ว ยองอุนเอื้อมปิดประตูเมื่อร่างบางเดินเข้ามาในห้องได้เต็มตัว ชายหนุ่มวางร่มคันที่เปียกฝนแทบจะพอๆกับตัวเขาเองไว้หน้าห้องพร้อมกับวิ่งหายเข้าไปในห้องนอนพลางกล่าวกับผู้มาเยือนไปพร้อมกัน

“นายหาที่นั่งรออยู่แถวนั้นก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะหาผ้าขนหนูให้”

เพียงไม่นาน เจ้าของห้องก็เดินกลับออกมาพร้อมกับผ้าผืนใหญ่ในมือ ยองอุนเดินนำคนร่างบางไปนั่งบนโซฟาเล็กๆในส่วนนั่งเล่นที่ติดกับระเบียงห้องเมื่อพบว่าคนที่บอกว่ามารอเขาแค่เพราะเขาเห็นเจ้าตัวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

มือที่ยื่นส่งผ้าขนหนูนุ่มผ่านไปยังอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันชะงักน้อยๆเมื่อพบว่าเม็ดฝนที่ควรจะเกาะพราวอยู่ตามใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ต่างไปจากเขากลับไม่ปรากฏให้เห็น ใบหน้าขาวกระจ่างแม้ในห้องพักที่มีเพียงแสงนีออนจวนเจียนดับ

สงสัย หากก็ไม่เอ่ยอะไรนอกไปเสียจากการถามไถ่ดังเจ้าบ้านที่เต็มใจให้การต้อนรับ

“หนาวรึเปล่า เดี๋ยวฉันไปชงชาร้อนๆให้เอาไหม”

เจ้าของมือเรียวที่รับผ้าไปคลุมทับร่างเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ “อย่าลำบากเลย”

ยองอุนยิ้มกว้าง “ไม่ลำบากตรงไหนนี่ ชงชาเรื่องกล้วยๆ รอแป๊บเดียว”

ให้คำมั่นพลางเดินตรงเข้าครัวเล็กๆไป มือหนาหยิบจับข้าวของคล่องแคล่ว ไม่ช้าไม่นานชาร้อนควันกรุ่นก็ถูกชงสำเร็จเรียบร้อย นักศึกษาหนุ่มร่างสูงยังคงยืนนิ่งอยู่ในครัวนั้นขณะปล่อยความคิดล่องลอยไปกับความสงสัยเกี่ยวกับคนที่นั่งรอเขาอยู่ข้างนอก

ก็ไม่แปลกหรอกหรือ…ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำเท ร่างที่ควรจะเปียกปอนด้วยหยดน้ำดังเช่นตัวเขาในเวลานี้กลับแห้งสนิทดุจว่าอยู่ภายใต้ชายคาที่มองไม่เห็น เสียงใสหวานที่ยอมรับว่าไพเราะกว่าเสียงของเพื่อนสาวบางคนที่มหาวิทยาลัยเสียอีกกลับกังวานก้อง ยิ่งในห้องพักยิ่งชัดเจนว่าแผกไปจากเสียงของคนทั่วๆไป แม้กระทั่งใบหน้าที่ควรจะต้องซีดเซียวด้วยความหนาวเย็นจากอุณหภูมิท่ามกลางฝนพรำก็กลับฝาดสีเลือดดังไม่ได้สัมผัสกับอากาศหนาวแม้เพียงนิด แล้วยังมือเรียวคู่นั้น ยามเมื่อสัมผัสลงบนผิวเนื้อของเขากลับเย็นเฉียบตัดกับอุณหภูมิร่างกายที่มนุษย์พึงมี

ร่างบางคนนั้นเป็นใครกันแน่นะ?

สะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวไปเมื่อคิดได้ว่าเวลาที่ขอมาชงชาชักจะนานเกินไปเสียแล้ว ยองอุนเดินออกมานั่งลงตรงข้ามกับคนที่เลื่อนสายตามองข้าวของเครื่องใช้ในห้องของเขาไปเรื่อยเปื่อย รอยยิ้มสวยวาดขึ้นบนเรียวปากบางเมื่อเจ้าตัวพบว่าคนที่ตนบอกว่ารอกลับมาพร้อมกับชาร้อนๆดังที่บอกไว้เมื่อครู่แล้ว

“ไหนบอกว่าไม่ลำบากไง หายไปนานเลย”

“ก็ไม่ลำบากไง แต่ฉันจะล้างจานล้างชามของฉันบ้างไม่ได้เหรอ” พูดตามน้ำออกไป

คนฟังพยักหน้ารับขณะเลื่อนมือเรียวลงกุมถ้วยชาร้อนนั้นไว้นิ่งเหมือนจะใช้เป็นเครื่องให้ความอบอุ่นเสียมากกว่า คนหน้าหวานเลื่อนสายตามองไปที่อื่นราวกับไม่ได้คาดหวังในคำตอบใดอื่นจากเจ้าของห้อง

คนตัวสูงมองตามใบหน้าเรียวนั้น คิ้วโก่งบางเหนือดวงตาเรียวสวย จมูกโด่งสัน และริมฝีปากบางสีสดตัดกับผิวขาวละเอียด

สวย…มากกว่าหล่อ

นานแล้วกระมังที่เขาไม่ได้ยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือใคร คนอย่างคิมยองอุนไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ แต่เพราะตัวเองไม่ชอบให้ใครมาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว เพราะฉะนั้นพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่นเขาจึงไม่เคยเข้าไปบุกรุก ไอ้ประเภทที่จะวิ่งโร่ออกไปหาท่ามกลางสายฝนก็ยิ่งไม่ทำ

แต่วันนี้ เพียงแค่เห็นร่างบอบบางท่ามกลางเม็ดฝนตกกระหน่ำจากหน้าต่างสูง จะปล่อยให้ตากฝนต่อไปเสียก็ได้ แต่ร่างกายที่ทำงานไปก่อนสมองก็คว้าร่มวิ่งลงมาจนถึงอาคารชั้นล่างสุดเสียก่อนแล้ว แล้วยิ่งได้เห็นใบหน้าหวานเศร้าสร้อยลงเมื่อเอ่ยไล่เขากลับขึ้นห้องมาเสียเมื่อครู่ก็ยิ่งไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้

นี่ไม่ใช่การบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้านี้หรอกหรือ…

ยองอุนสะดุ้งน้อยๆเมื่อจู่ๆคนที่อยู่ในความคิดก็หันใบหน้ากลับมามองสบตากับเขา คิ้วโก่งเลิกขึ้นประกอบคำถาม

“มีอะไรรึเปล่า”

“อ่อ อา…” ติดอ่างขึ้นมาเสียดื้อๆ ไอ้ครั้นจะให้ตอบว่า…ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากมอง…คงได้โดนอีกฝ่ายมองเป็นตัวประหลาดแน่นอน

“หืม?” เอียงหน้ามองรอคำตอบ

“คือ…ฉันจะถามว่านายมารอฉันทำไมน่ะ” เอ่ยออกมารวดเดียวในทันทีที่คิดออก เพราะที่เขาถามคนตรงหน้าไปเมื่อครู่ตอนที่อยู่ข้างล่างนั้นก็ได้รู้แต่เพียงแค่เพราะเขาเห็นอีกฝ่ายจึงได้รอ เหตุและผลที่ไม่ค่อยจะสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ยองอุนสงสัยอยู่ไม่น้อยไปกว่าลักษณะอาการที่แปลกไปจากคนทั่วๆไปของร่างบางนี้เลย

“อา…” เสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ ใบหน้านั้นดูเคลือบแฝงไว้ด้วยความกังวล “คือฉันมีเรื่องอยากจะรบกวนนาย คงต้องรบกวนมากๆด้วย”

“รบกวน?” ทวนคำงงๆ “ทำไมนายถึงได้เลือกมารบกวนฉันล่ะ”

ที่ถามออกไปก็เพราะสงสัยจริงแท้ คนร่างสูงไม่ได้มีจุดประสงค์จะกวนประสาทอีกคนแต่อย่างใด หากคนที่เอ่ยรบกวนจะคิดอย่างไรก็คงไม่อาจรู้ได้เลยเมื่อใบหน้านั้นก้มลงต่ำซ่อนเร้นไว้จากสายตาคม

“ก็เพราะ…เพราะนายมองเห็นฉัน” ตอบเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ แต่ก็เพราะเหตุผลที่มีก็มีเพียงแค่นั้น แค่เหตุผลวนอยู่ในอ่างที่ทำให้ยองอุนงงหนักกว่าเดิม

“อะไรนะ นี่นายจะบอกว่านอกจากที่รอฉันเพราะฉันเห็นนายแล้วก็ยังเลือกรบกวนฉันเพราะฉันเห็นนายอีกอย่างนั้นเหรอ” ทวนความเข้าใจของตัวเองให้อีกคนฟังเสียงดัง คนฟังพยักหน้ารับ

ยองอุนขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง แล้วจะมีใครที่มองไม่เห็นนายบ้างล่ะ”

ใบหน้าเรียวที่ก้มต่ำเงยขึ้นหลังจบประโยคคำถามนั้น เสียงหวานเอ่ยเศร้าสร้อย “ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นฉันหรอก”

“อะไร หมายความว่ายังไง”

เจ้าของใบหน้าหวานสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกไป “ฉัน…ฉันไม่มีร่างกาย”

ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆกลับมาจากยองอุน ดวงตาคมไล่มองใบหน้าเรียว เสื้อผ้าสีขาวสะอ้านทั้งตัว ซ้ำยังมีผ้าขนหนูของเขาคลุมทับกายกับแก้วชาร้อนในมือเรียว

อะไรคือไม่มีร่างกาย…

“ฉัน…เป็นวิญญาณ”

ความเงียบงันลอยตัวคว้างท่ามกลางห้องพักที่ยังคงได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบหน้าต่างดังแว่วๆ หากเสียงนั้นกลับดูจะหมดความสำคัญลงไปเมื่อคำขยายความเบาหวิวกระจ่างชัดในโสตสัมผัสของยองอุน ชายหนุ่มอ้าปากค้าง สมองเริ่มประมวลผลสิ่งที่เขาได้เห็นตั้งแต่เมื่อเย็นตอนที่กลับมาถึงหอพักจนกระทั่งถึงวินาทีนี้

ชิงช้าไกวไหวแม้ไร้แรงลมหนุนพัด…ร่างท่ามกลางสายฝนกระหน่ำไร้หยดน้ำเกาะพราว…เสียงหวานกังวานก้องแผกไปจากคนปกติ…มือเรียวเย็นเฉียบดุจไม่มีอุณหภูมิร่างกาย

วิญญาณ…งั้นหรือ? วิญญาณหรือที่เรียกกันง่ายๆว่าผีที่ยองอุนกลัวอย่างนั้นหรือ?

“กลัวใช่รึเปล่า”

เสียงหวานล่องลอยปลุกยองอุนขึ้นจากห้วงความคิดของตัวเอง

กลัวงั้นหรือ…ก็ต้องกลัว แต่ครั้นเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนถามปรากฏรอยยิ้มเศร้าแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าความกล้าหาญที่วิ่งหนีหายไปเสียนานหายตัวกลับมาหาได้อย่างไร

ดวงตาคมดำขลับยังคงจับจ้องใบหน้าเรียวขาวกระจ่างในความมืดตรงหน้านิ่งงัน ไม่มีคำตอบนอกเหนือจากความเงียบที่ดังก้อง ร่างที่เพิ่งเฉลยต่อเขาว่าเป็นวิญญาณเอ่ยต่อไป

“ไม่เป็นไรหรอกที่นายจะพูดว่ากลัว ฉันไม่ได้มาขอให้นายช่วยเป็นคนแรกหรอก คนอื่นๆ…ปฏิเสธฉันมาแล้วทั้งหมด ถ้านายจะปฏิเสธฉันก็เข้าใจ แค่อยากจะขอบคุณที่ยังยอมนั่งคุยกับฉันถึงตอนนี้ก็เท่านั้น”

“นายพูดอะไร” โพล่งถามขึ้นขัด อีกฝ่ายมองตามอย่างไม่เข้าใจ

“ใครที่ไหนจะกล้าพูดว่าไม่กลัวผี ฉันกลัวสิ กลัวมากด้วย…”

คนได้ฟังปล่อยเสียงหัวเราะหมองๆ “ก็เท่านั้นเอง งั้นฉันก็จะไป”

ดวงตาเรียวสวยค่อยหลับลงช้าๆดังเช่นที่ทำมาหลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ ร่างบางเที่ยวปรากฏร่างไปหาคนที่คิดว่าสามารถช่วยเหลือเขาได้ด้วยสัมผัสพิเศษที่อนุญาตให้มีกับเฉพาะคนที่กำลังจะสิ้นลมหายใจอย่างเขาเท่านั้น คำปฏิเสธไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าอาการเชื้อเชิญเพียงเพราะเข้าใจผิดในครั้งนี้

เพียงแต่แค่คนที่เสียสละร่มของตัวเองมาให้เขาเกือบทั้งคันเอ่ยคำปฏิเสธออกมาเท่านั้น ก็เพียงแค่นี้ที่ทำให้กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

ร่างบางไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรเลยจริงๆ…เขาก็แค่ผิดหวังเท่านั้น ความหวังที่กำลังพองตัวที่จะหาคนช่วยเหลือในวินาทีคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นกับความตาย ก็แค่ผิดหวังที่มันกลายเป็นศูนย์เหมือนเดิม

เขา…คงเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับคนที่มีเนื้อหนังสมบูรณ์แบบที่เขาเองก็เคยมีมากเลยสินะ

หยดน้ำตาคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเหลือทิ้งไว้ให้คนร่างสูงคนนี้รู้สึกผิดไปจนชั่วชีวิตเมื่อเสียงห้าวนั้นเอ่ยขึ้นมาในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่คนร่างบางจะทันได้จากไปจากห้องนี้

“บอกว่าจะรบกวนฉันแล้วก็จะหนีไปทั้งแบบนี้น่ะเหรอ”

“เอ๋?” ดวงตาคู่สวยลืมพรึ่บเมื่อได้ยินเสียงนั้น หยดน้ำตายังคงรินไหลหากมือบางก็เลื่อนขึ้นปาดมันทิ้งไป

ยองอุนยกยิ้มรอท่า “ทำไมจะต้องร้องไห้ด้วย ฉันบอกสักคำแล้วเหรอว่าจะไม่ให้นายรบกวนน่ะ”

“ก็นาย…” คนที่เพิ่งปล่อยน้ำตาให้ไหลรินต่อหน้าเจ้าของห้องตัวสูงเอ่ยติดๆขัดๆ “นายบอกว่านายกลัว”

“วิญญาณจะต้องขี้แยแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า ฉันแค่บอกว่ากลัว แต่ในเมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว คุยกันมาก็ตั้งนานขนาดนี้ จะให้ฉันนิ่งดูดายได้เหรอ”

ประโยคแรกถูกละเลยเมื่อสองสามประโยคหลังบอกชัดว่าคนตัวสูงคนนี้พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ใบหน้าเรียวหวานยิ่งหวานขึ้นเมื่อรอยยิ้มยินดีกระจายเกลื่อน

“จริงๆนะ นายจะช่วยฉันจริงๆใช่ไหม”

ฟังเสียงใสที่ร่าเริงราวกับความฝันของตนเป็นจริงขึ้นมาในที่สุดแล้วก็อมยิ้ม นักศึกษาหนุ่มผู้กลัวผียิ่งกว่าอะไรทั้งหมดยักคิ้วให้อีกฝ่าย เสียงนุ่มกล่าวกลั้วหัวเราะ

“บอกมาสิว่าจะให้ช่วยอะไร…”

คำบอกเล่าจากร่างบางทำให้ยองอุนได้รับรู้ว่านับตั้งแต่ที่ร่างของเจ้าตัวถูกชนโดยรถสิบล้อคันใหญ่ตรงถนนโล่งค่อนไปทางแถบชานเมือง วิญญาณของเจ้าตัวก็เที่ยวร่อนเร่ไปหาคนที่พอจะมองเห็นและช่วยพาวิญญาณนี้กลับเข้าร่างที่ยังรู้สึกได้ว่ามีลมหายใจแม้จะรวยริน หากนอกจากจะไม่มีใครยอมช่วยเหลือแล้ว ผู้ที่พอจะมองเห็นร่างนี้ก็กลับวิ่งหนีหรือไม่ก็ขับไล่ไปด้วยความหวาดกลัว จนมาถึงเขาก็เป็นคนที่หก

“แล้วตอนนี้ร่างของนายอยู่ที่โรงพยาบาลอะไรล่ะ” ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันจบเรื่องเล่าของตัวเองลงแล้ว

ใบหน้าหวานส่ายไปมาช้าๆ “ไม่รู้เลย พอฉันรู้ตัวอีกทีก็ห่างออกมาจากที่ที่โดนรถชนแล้ว”

“อืม…” พยักหน้ารับเบาๆ ยองอุนก้มหน้าลงอย่างใช้ความคิด แม้อาจจะไม่มีความหวัง แต่สถานที่สุดท้ายที่คนร่างบางรู้สึกตัวน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดที่จะหาโรงพยาบาลที่รักษาร่างกายนี้ไว้พบ

ยองอุนเงยหน้าขึ้นอีกครั้งหลังจากสรุปกับตัวเองได้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป “ถ้าอย่างนั้นนายจำถนนที่นายถูกรถชนได้ไหม”

“จำได้”

“ถ้าอย่างนั้นเราจะไปเริ่มต้นกันที่นั่น ไปกันเถอะ” เจ้าของห้องลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คำพูดและท่าทางเป็นการเชื้อเชิญให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันลุกขึ้นตาม “โชคดีที่ฉันมีจักรยานอยู่นะ ไม่งั้นคงลำบาก ไป…”

“เดี๋ยวก่อน”

หันไปหาคนที่เดินตามมาพร้อมส่งเสียงเรียกรั้ง ยองอุนเลิกคิ้วขึ้นแทนคำถาม

“คือฉัน…เอ่อ ชื่อ…นาย” เสียงตะกุกตะกักที่ประกอบออกมาเป็นคำมากกว่าประโยคทำให้คนฟังยิ้มขำ

จริงสินะ…ก็ตั้งแต่นั่งคุยกันมาเขายังไม่ได้แนะนำตัวกับร่างบางนี้เลย

คนตัวสูงกว่าเดินกลับมาหาร่างที่ยืนนิ่งอยู่ห่างออกไป มือเย็นเฉียบดุจไร้อุณหภูมิไม่ได้เป็นอุปสรรคอีกแล้วเมื่อมือใหญ่เอื้อมลงจับไว้อย่างอบอุ่น รอยยิ้มกว้างเปิดเผยความจริงใจถูกส่งตรงไปยังเจ้าของมือเรียวในอุ้งมืออุ่นนี้

“จะถามชื่อเหรอ” ก้มหน้ามองตามใบหน้าหวานที่เบนหลบ เขาก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าคนที่แนะนำตัวกับเขาว่าเป็นวิญญาณจะแสดงอาการขลาดเขินได้น่าเอ็นดูเสียยิ่งกว่าคนปกติหลายเท่านัก

“ฉันชื่อคิมยองอุน ยินดีที่ได้รู้จักและได้ช่วยเหลือนะ”

คนอยากรู้ชื่อยอมหันหน้ากลับมาสบตา รอยยิ้มที่ได้เห็นแล้วมั่นใจว่าเป็นสัญลักษณ์แทนความสุขปรากฏขึ้นบนเรียวปากสีสวย

“ปาร์คจองซู ขอรับความช่วยเหลือนี้ไว้ด้วยความขอบคุณ”

ยองอุนหัวเราะให้กับประโยคแสนสุภาพนั้น มือใหญ่กว่ากระชับมือเรียวไว้มั่นขณะเอ่ย “ไปกันเถอะ”

จองซู…บริสุทธิ์เหมือนสีขาวของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ผิดจริงๆ

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

สายลมเย็นหลังฝนซาเม็ดยามดึกพัดผ่านเส้นผมอ่อนบางให้พลิ้วไหวระต้นคอระหง จักรยานที่ยองอุนขับดูจะเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อถนนที่จองซูบอกทางให้นั้นโล่งสนิทไร้ซึ่งรถยนต์แม้สักคันวิ่งสวนผ่าน มือบางที่พาดอ้อมเอวของอีกฝ่ายไว้เพิ่มแรงรัดขึ้นเมื่อจักรยานเข้าโค้ง ยองอุนเผยรอยยิ้ม ในใจนึกอยากจะให้เส้นทางทอดยาวมากกว่านี้อีกสักนิด แต่ก็คงเป็นโชคร้ายบนความโชคดีดีที่ถนนสายดังกล่าวทอดตัวอยู่ไม่ห่างไปจากเขตมหาวิทยาลัยของเขาเสียเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้ ภายในเวลาไม่นานจุดที่จองซูจำได้ว่าถูกรถชนก็ปรากฏให้เห็น

“แถวนี้แหละ” เสียงหวานเอ่ยขณะปล่อยมือออกจากเอวของสารถีผู้อุตส่าห์สละเวลาอ่านหนังสือของตนมาตามหาโรงพยาบาลที่ไม่รู้แม้ย่านที่ตั้งให้กับเขา

จองซูกระโดดลงจากจักรยานเพื่อเดินตรงไปหาร่องรอยที่น่าจะมีเจ้าหน้าที่มามาร์คจุดเอาไว้ ยองอุนเดินตามหลังไปช้าๆจนกระทั่งดวงตาคมมองเห็นรอยพ่นสเปรย์บนพื้นถนนที่ร่างบางหยุดยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“ตรงนี้เหรอ”

“อืม”

ร่างสูงกวาดมองพื้นที่รายรอบ ถนนยามค่ำคืนมืดมิดมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าต้นสูงส่องลงมาให้ความสว่างน้อยนิด ไม่มีวี่แววว่าจะหาคนที่พอจะรู้เห็นเหตุการณ์เพื่อถามไถ่ให้รู้ความได้เลย

ใบหน้าหวานที่หันมองแฝงแววกังวลไม่ต่างจากเสียงหวาน “เราจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะ”

คนถูกถามไม่ได้ตอบ คงเพราะมืดมนด้วยหนทางก็ส่วนหนึ่ง หากทว่าในวินาทีที่มีเพียงความสิ้นหวังลอยฟุ้งอยู่รอบกาย เสียงเรียกจากหญิงชราที่เบื้องหลังก็ทำให้คนร่างสูงหันมองแทบจะทันที

“พ่อหนุ่ม มายืนทำอะไรคนเดียวบนถนนมืดๆแบบนี้กันล่ะฮึ” กระแสเสียงอ่อนเบาสั่นเครือด้วยอายุของหญิงชราเอ่ยถาม

“คุณยายครับ คือ…ที่นี่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่นานใช่ไหมครับ” ย้อนถามด้วยความหวังเต็มเปี่ยม ใบหน้าคมปรากฏรอยยิ้มยินดีเมื่อคู่สนทนาพยักหน้ารับ

“ใช่แล้ว เมื่อสองวันก่อนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นน่ะ เด็กหนุ่ม…น่าเสียดายที่ยังหนุ่มนัก โดนรถชนเข้า”

“แล้วเขาถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลอะไรเหรอครับ” ซักต่อโดยไม่รอให้เธอพูดอะไรมากไปกว่านั้น

หญิงชราขมวดคิ้วเข้าหากัน อาการที่แสดงราวกับกำลังนึกย้อนความทรงจำของตัวเอง “ฉันได้ยินเขาพูดกัน บอกว่าโรงพยาบาล A”

ยองอุนก้มหัวลงต่ำ เสียงทุ้มรัวพูด “ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากๆครับคุณยาย ขอบคุณ”

เอ่ยได้เพียงคำขอบคุณทิ้งท้ายก่อนจะพุ่งตัวตรงไปยังจักรยานที่จอดรอท่าอยู่ไม่ไกลพร้อมกันกับจองซู นักศึกษาหนุ่มบังคับพาหนะสองล้อให้เคลื่อนห่างออกไปด้วยความรวดเร็วท่ามกลางสายตาของหญิงชราที่มองตาม เสียงสั่นเครือเอ่ยเบาๆก่อนที่ร่างทั้งร่างจะค่อยๆเลือนลงจนกระทั่งหายไป

‘มันยังไม่ถึงเวลาของเจ้าหรอก เด็กน้อย จงไปเสียเถิด รีบไปเสียให้ทัน…’

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

โรงพยาบาล A

ทางเดินเข้าทอดยาวสว่างไสวดังที่โรงพยาบาลเอกชนจะพึงมี ชายหนุ่มรีบวิ่งตรงเข้าไปสอบถามนางพยาบาลที่เฝ้าเวรอยู่ตรงเคาน์เตอร์ทันที

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคนไข้ชื่อปาร์คจองซูที่โดนรถชนเมื่อสองวันก่อนตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ส่งเสียงถามไม่เบานักประกอบกับสีหน้าเอาเรื่องจนกระทั่งเจ้าของชื่อที่ตามหลังมาต้องจับต้นแขนนั้นหวังจะปรามไว้บ้าง

เสียงหวานเอ่ยข้างกายเพียงแผ่ว “ไม่ต้องร้อนรนแบบนั้นก็ได้ ฉันคงยังไม่ตายเร็วๆนี้หรอก”

คำว่าคงยังไม่ตายเร็วๆนี้ช่างตบตากันได้ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย หางตาลอบมองร่างที่มาหยุดอยู่เคียงกัน เลือนรางในแสงจ้า แผกไปจากเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ยังอยู่ในห้องพักของเขาอย่างสิ้นเชิง แบบนี้น่ะหรือที่เรียกว่าคงยังไม่ตายเร็วๆนี้

“ขอโทษด้วยนะคะ แต่ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคุณจองซูเหรอคะ” เธอย้อนคำถามกลับมาหายองอุน

ชายหนุ่มจ้องตากลับ ไม่คาดคิดว่าเมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วยังจะต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากแบบนี้อีก เสียงห้าวตอบกลับห้วนสั้น

“เพื่อนครับ”

“เพื่อน?” นางพยาบาลทวนคำ “ชื่ออะไรคะ”

“คุณ!!!” ท่าทางและน้ำเสียงราวกับกำลังดูถูกทำให้ยองอุนหมดความอดทน มือใหญ่ตบลงบนเคาน์เตอร์ด้วยแรงมหาศาลอย่างที่ไม่เกรงความเจ็บ เสียงที่เรียกตวาดก้องจนคนผ่านมาหันมอง

จองซูแตะมือลงบนแขนที่ท้าวอยู่เหนือศีรษะของพยาบาลที่หน้าซีดเผือดไปถนัด “ยองอุน…”

เสียงเรียกชื่อเพียงแผ่วเบาฉุดรั้งสติที่ปลิวว่อนหายไปในอากาศให้กลับมารวมกันได้อีกครั้ง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าจองซูคนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่ตอนนี้จะเป็นลูกหลานใครหรือใหญ่โตมาจากไหนถึงขั้นว่านางพยาบาลธรรมดาๆจะต้องมาคอยซักไซ้ไล่เรียงคนที่ถามถึง แต่ตอนนี้เขามีเรื่องด่วนที่จะต้องทำ เรื่องที่รอให้ใครมานั่งซักประวัติไม่ได้

“ผมชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหนมันไม่สำคัญหรอกนะครับ ผมพูดถูกรึเปล่าว่าคุณจองซูของคุณกำลังอยู่ในขั้นโคม่า แม้แต่ลมหายใจก็กำลังจะยื้อไว้ไม่อยู่แล้ว กรุณาบอกผมด้วยเถอะครับว่าตอนนี้เขากำลังรักษาตัวอยู่ที่ไหน”

น้ำเสียงแน่วแน่และแววตาเอาเรื่องที่ยังคงคุกรุ่นคงเพียงพอที่จะกดดันนางพยาบาลคนดังกล่าวให้ยอมบอกข้อมูลออกมาได้ เพราะเพียงสิ้นสุดคำถามย้ำเป็นครั้งที่สองของเขา เธอก็รีบตอบทันที

“ห้องไอซียูชั้นสิบค่ะ”

ไม่มีเสียงขอบคุณดังเคย ยองอุนรีบตรงดิ่งไปยังลิฟต์ตัวที่จะพาเขาขึ้นไปยังห้องที่คนร่างบางพักรักษาตัวอยู่ในทันที

การพักรักษาตัวในชั้นที่อยู่สูงขนาดนั้นก็คงเป็นชั้นที่สร้างไว้เฉพาะคนที่มีความสำคัญจริงๆนั่นแหละ…

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ยองอุนก็ไม่คิดถามคนที่มาขอความช่วยเหลือจากเขาว่าแท้จริงเป็นคนสำคัญอย่างไร เพราะเพียงแค่เมื่อประตูลิฟต์ปิดเข้าหากันจนสนิท ร่างที่เลือนรางอยู่แล้วเป็นทุนเดิมของจองซูก็ทรุดลงกองกับพื้นไม่ห่างไปจากจุดที่เขากดปุ่มสั่งการให้ลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นสู่ชั้นบน

ร่างสูงตรงดิ่งไปยังอีกฝ่ายที่สีหน้าดูจะเหนื่อยล้าเต็มที เสียงทุ้มเอ่ยถามร้อนรน

“จองซู…จองซู…เป็นอะไรไป”

“เหนื่อย…” คำตอบสั้นและไร้ซึ่งน้ำเสียงสดใสดังเช่นที่ได้ยินเมื่อแรกพบทำให้คนฟังใจหาย มือใหญ่ข้างหนึ่งแตะลงบนพวงแก้มซีดขาวในขณะที่มืออีกข้างสอดลงโอบรอบแผ่นหลังบางไว้

“เดินเองไม่ไหวแล้วใช่ไหม จองซู ตอบหน่อยสิ อย่าเพิ่งหลับนะ”

ดวงตาคู่สวยพยายามฝืนลืมพลางเอ่ย “อืม คงไม่ไหว”

“ขี่หลังฉัน” ชายหนุ่มร่างสูงจัดแจงพาดท่อนแขนเรียวทั้งสองข้างให้วางลงบนบ่าของเขาในทันที ยองอุนค่อยๆลุกขึ้นยืน บนหลังประคองดวงวิญญาณที่แทบไร้เรี่ยวแรงอาจเพราะวันเวลาที่ออกจากร่างไปนานนั้นไว้

“ยองอุนอา…” เสียงหวานแม้แผ่วเบากระซิบอยู่ข้างหู เจ้าของชื่อเงียบเพื่อรับฟัง “ขอบคุณจริงๆนะ”

“ฉันจะรับคำขอบคุณจริงๆก็ต่อเมื่อนายกลับเข้าไปในร่างของตัวเองแล้วขอบคุณฉันตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เข้าใจรึเปล่า”

จองซูหัวเราะเบาๆ “ฉันกลัวจะไม่ไหว”

ดวงตาคมเหลือบมองตัวลิฟต์ที่ค่อยเคลื่อนใกล้ชั้นที่สิบไปเรื่อยๆ เสียงทุ้มเอ่ยกับร่างที่อยู่บนหลังไปพลาง

“ไหวสิ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง ทนอีกหน่อยเถอะนะ ฉันช่วยนายมาขนาดนี้แล้วมันจะจบลงง่ายๆอย่างนี้ได้ยังไง”

“นายเก่ง” ตอบเสียงเบา

ก็หากเป็นเวลาปกติยองอุนคงจะหัวเราะไปกับคำชมที่ไม่ได้ยินมานานนี้ได้ แต่คงไม่ใช่กับตอนนี้ ตอนที่คนพูดกำลังจะจากไปตลอดกาล

“นายก็ต้องเก่งกับฉัน ถึงแล้วล่ะจองซู อดทนไว้นะ”

ชั้นที่ประตูลิฟต์เปิดออกนั้นร้างผู้คน ที่สุดปลายทางมองเห็นห้องกระจกเพียงห้องเดียวบนชั้นทั้งชั้น ยองอุนประคองร่างของจองซูตรงไปยังห้องห้องนั้น

ภาพที่ดวงตาคมมองเห็นเป็นภาพของร่างบอบบางเช่นเดียวกันกับร่างที่พาดแขนไว้รอบลำคอของเขาอยู่ในตอนนี้ แขนขาวเรียวเล็กที่ได้สัมผัส เบื้องหน้ากลับเจาะสายระโรงระยาง เครื่องช่วยหายใจครอบทับใบหน้าเรียวขาว ดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม เสียงเครื่องวัดชีพจรยังคงดังต่อเนื่องแม้จะดูอ่อนแรงเต็มที

จองซูเอ่ยถามเบาๆ “น่ากลัวรึเปล่า”

“อะไรน่ากลัว ก็เหมือนนายตอนนี้นั่นแหละ” แว่วได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนบนหลัง ยองอุนพูดต่อไป “นายจะต้องกลับไปนะจองซู ฉันพามาส่งแล้ว”

“ฉันกลัว…”

เหลือบมองใบหน้าใสที่เอียงซบอยู่บนบ่าของตนขณะถาม “กลัวอะไร”

“เยอะแยะไปหมด”

คำตอบเลี่ยงๆราวกับจะยื้อเวลาทำให้คนฟังต้องตัดใจ เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยใช้กับใคร

“จองซูอา…”

“หืม?” ตอบรับเบาๆ

“ความกลัวไม่ทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้หรอกนะ”

“บางทีฉันก็ไม่อยากจะเดินหน้า”

“เพื่อฉัน” สิ่งที่ยองอุนกำลังพูด ไม่ได้โน้มน้าว หาก…ขอร้อง “ถือว่าทำเพื่อฉันเถอะนะ กลับเข้าไปอยู่ในที่ที่นายควรจะต้องอยู่ แล้ววันที่นายออกจากห้องนี้ได้ฉันก็จะมาเยี่ยม มารับคำขอบคุณไง ตกลงไหม”

รับรู้ถึงกลุ่มผมนุ่มที่เคลียอยู่ที่ลำคอเมื่อเจ้าของร่างที่เขาประคองไว้บนหลังพยักหน้ารับ ยองอุนเผยยิ้ม

“ดี งั้นบอกฉันมาสิว่านายจะต้องทำยังไงต่อไป นี่มันอยู่นอกกระจกเชียวนะ”

ดวงตาคู่ที่หลับพริ้มอย่างอ่อนล้าฝืนลืมขึ้นช้าๆเพื่อมองร่างอีกร่างของตนในห้องกระจก เสียงใสบอกกับคนที่ยังคงประคองร่างของเขาไว้เบาๆ

“นายต้องปล่อยฉันลงแล้วล่ะ”

ยองอุนทำตามคำพูดนั้น ชายหนุ่มปล่อยให้จองซูยืนเองแม้จะยังคงจับมือเรียวข้างหนึ่งไว้เพื่อประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรง ร่างบางวางมืออีกข้างของตนลงบนแผ่นกระจกใสขวางกั้น ใบหน้าหวานเบนกลับมาหาคนตัวสูงที่จับมืออีกข้างของเขาไว้นิ่งนานราวกับเป็นครั้งสุดท้าย

“ขอบคุณจริงๆที่ช่วยฉันไว้ ไม่ได้นายฉันคงต้องตายไปจริงๆ”

คนฟังยิ้ม “ฉันยินดีช่วยเหลือ และดีใจที่ได้ช่วย”

“ฉันรู้” รอยยิ้มแม้บางเบาทว่าลักยิ้มสวยก็ยังคงปรากฏให้ได้เห็น “ฉันต้องไปแล้วจริงๆใช่ไหม”

“อืม” ตอบรับแม้จะรู้สึกได้ว่าใจหาย

“งั้นก็…ปล่อยมือฉันออกเถอะ”

ยองอุนก้มลงมองมือเรียวขาวที่เขายังจับยึดเอาไว้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยืนมองอยู่แบบนี้นอกเสียจากจะส่งผลร้ายต่อเจ้าของมือข้างนี้เสียอีก อุ้งมือที่กอบกุมรอบนิ้วเรียวค่อยคลายออกช้าๆจนมือของจองซูถูกปล่อยออกเป็นอิสระในท้ายที่สุด

แสงเจิดจ้าบาดตาปรากฏขึ้นในวินาทีเดียวกับที่ยองอุนปล่อยมือบางนั้นออกจากการเกาะกุม แม้แสงที่เกิดขึ้นต่อหน้าจะจ้ามากเสียจนควรจะต้องปิดตาเพื่อหลบหนีไปเสีย หากชายหนุ่มร่างสูงกลับไม่ทำเช่นนั้น ดวงตาคมยังคงมองใบหน้าของคนที่กำลังยิ้มให้เขาแม้จะเห็นชัดว่าน้ำตาหยดเล็กไหลเลี้ยวลงตามใบหน้าเรียวขาวนั้น และก็คงเป็นเพียงแค่น้ำตาหยดเดียวที่มีโอกาสได้เห็นเมื่อแสงนั้นมืดดับลงพร้อมกับวิญญาณของจองซูที่จางหายไป

เสียงเครื่องตรวจวัดชีพจรดูจะทำงานแข็งขันขึ้นมาเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าวิญญาณดวงที่ช่วยเหลือไว้กลับเข้าสู่ร่างของตนได้ในที่สุด ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มในวินาทีที่หันหลังเดินจากมา

เขาส่งจองซูให้เดินหน้าไปได้แล้ว เพราะฉะนั้น การสอบที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้เขาก็คงจะต้องกลับไปเริ่มต้นเดินหน้าต่อบ้างแล้วละมัง…

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

ผ่านไปแล้วหลายอาทิตย์ คิมยองอุนคนที่ชอบงีบหลับก็ยังคงงีบหลับอยู่อย่างเดิม ดังนั้นแล้ว คิมฮีชอลผู้คอยตามบ่นก็จึงไม่วายต้องคอยบ่นคอยว่าอยู่อย่างเดิมเช่นเดียวกัน

วันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม พี่ชายหน้าหวานนัดให้ยองอุนไปทำงานของชมรมตอนช่วงเย็นหลังเลิกเรียนอีกเช่นเคย พี่ชายร่างเพรียวไม่เคยเข็ดแล้วก็คงไม่คิดเข็ดขยาดกับนิสัยอู้งานของเขาแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตอนนี้ร่างสูงกลับกำลังเดินอยู่ในเขตของโรงพยาบาลที่อยู่ห่างออกมาจากมหาวิทยาลัยหลายกิโลเมตรโดยไม่ได้หวั่นเกรงถึงอาการโมโหเป็นฟืนเป็นไฟของพี่ชายคนดีเลย

พรุ่งนี้เขาจะเอาคอไปให้บั่นแต่เช้า เพียงแค่วันนี้และตอนนี้เท่านั้นที่เขาจะต้องมาเยี่ยมคนป่วยที่นี่ให้ได้ หากจะถามว่าแล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าคนร่างบางคนนั้นฟื้นจากการหลับใหลแล้ว คำตอบก็คงเป็นไม่รู้ เพราะยองอุนก็แค่รู้สึกว่าวันนี้แหละเป็นวันที่เขาควรจะมา…ก็เท่านั้น

ดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ในมือหนากระชับไว้มั่นเมื่อเดินตรงเข้าไปใกล้กับห้องพักฟื้นพิเศษที่สอบถามมาจากนางพยาบาลคนเดิมที่เคยเจอกันเมื่อวันที่เขาพาจองซูมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ รองเท้าผ้าใบเปื้อนฝุ่นหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูห้องเพื่อรวบรวมความกล้าที่โบยบินหายไปโดยไม่รู้ตัวกลับมา

มือใหญ่เคาะลงที่บานประตูเบาๆก่อนที่จะผลักเข้าไปภายใน บนเตียงผู้ป่วยที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไปจากประตูบานเลื่อนกระจกซึ่งเปิดออกสู่ระเบียงห้องปรากฏร่างบอบบางคุ้นตาเอนหลังพิงหมอนใบใหญ่อยู่ ในมือเรียวถือหนังสือเล่มเล็กไว้ในขณะที่ใบหน้าเรียวขาวทอประกายล้อแสงแดดยามเย็นที่ส่องลอดผ่านรอยแยกของม่านยาวหันมองมาที่ยองอุน

คนร่างสูงส่งรอยยิ้มอ่อนไปหาคนป่วย เสียงทุ้มเอ่ยกับคนที่มองมาทางเขา

“จองซู ฉันมาเยี่ยม…”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของยองอุนค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยช้าๆเมื่อเจ้าของเสียงหวานละมุนที่เขาจำได้ดีเอ่ยถามเบาๆ

“เรา…รู้จักกันด้วยเหรอ”

คำถามที่ทำให้โลกทั้งใบราวกับจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ ดวงตาคมมองสบลงในนัยน์ตาสีน้ำตาลแก่ซึ่งยังคงฉายแววพิศวงอย่างปิดไม่มิด ไม่มีความรู้สึกอื่นใดให้สัมผัสได้เลยนอกจากความสงสัยเท่านั้น

ยองอุนค้อมศีรษะลงน้อยๆ ชายหนุ่มเอ่ยตอบเบาๆก่อนจะถอยหลังออกจากห้องพักฟื้นพิเศษดังกล่าวไป

“ขอโทษครับ ผมคงทักคนผิด”

“อ๊ะ เดี๋ยวสิ…”

เสียงเรียกรั้งจากคนป่วยบนเตียงดูจะไม่ทันการเสียแล้วเมื่อเจ้าของช่อดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ปิดประตูห้องพักให้เขาจนสนิทดังเดิม ร่างบางปล่อยความสงสัยให้ล่องลอยไปกับสายลมก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือในมือที่อ่านค้างไว้เมื่อครู่ต่ออีกครั้งโดยไม่คิดติดใจอะไรอีก

…ก็คงแค่ทักคนผิดล่ะมั้ง…

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

บนระเบียงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นพิเศษ ร่างสูงของยองอุนเดินห่างมาจากประตูห้องพักของจองซูช้าๆ หากใบหน้ากลับแย้มรอยยิ้มกว้าง

แน่ล่ะว่าเขาไม่ได้ทักคนผิด ใบหน้าเรียวขาวกับริมฝีปากบางแดงสดนั้นเขาจะลืมมันไปได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตามที่ทำให้จองซูจำเขาไม่ได้ เขาก็จะไม่ฝืนสิ่งที่มันกำลังเป็นอยู่นี้ไปอย่างแน่นอน

เขาช่วยจองซูไม่ใช่เพราะต้องการให้จองซูขอบคุณอย่างที่บอกกับร่างบางไว้ตอนก่อนจะส่งวิญญาณอีกคนให้เข้าร่างหรอก แต่ที่ช่วยก็เพราะอยากจะช่วย ช่วยก็เพราะลึกๆในใจมันเรียกร้องให้ทำ เรียกร้องให้ความกล้าหาญที่หายไปนานกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง

หากเพียงแค่ตอนนี้จองซูจะมีความสุขดีกับชีวิตที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคิมยองอุน ยองอุนก็จะขอมีความสุขกับชีวิตที่มีความทรงจำเกี่ยวกับปาร์คจองซูต่อไป อย่างน้อย…ก็จนกว่าสมองของเขามันจะสั่งให้ลืมก็เท่านั้น

.
.
.
*Underneath the Rain*
.
.
.

The End